วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

เราเลือกจักรยานกันอย่างไร

เราเลือกจักรยานกันอย่างไร

image
         
         การปั่นจักรยานอาจกล่าวได้ว่าเป็นการออกกำลังกายที่สนุกสนานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างมาก นอกจากนั้นแล้วเรายังใช้จักรยานเพื่อเดินทางไปทำงาน เพื่อท่องเที่ยว หรือเพื่อการแข่งขัน ไม่ว่าเราจะใช้จักรยานเพื่อจุดประสงค์ใดๆ เราจำเป็นต้องพิจารณาประเภทของจักรยานรวมทั้งอ๊อปชั่นต่างๆ ของจักรยานที่มีอยู่หลากหลายประเภทในเวลานี้
          จุดประสงค์ของบทความนี้เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ที่เริ่มต้นสนใจการปั่นจักรยาน หรือคนที่ยังไม่เคยได้ปั่นจักรยานได้เลือกจักรยานคู่กายที่เหมาะสมกับการใช้งานหรือกับตัวเอง
รู้สไตล์การปั่นเบื้องต้นของเรา
          สิ่งแรกที่เราต้องพิจารณาคือต้องรู้ว่าจักรยานที่เราจะหามาใช้นั้นจะใช้บนผิวทางแบบไหน ทางเรียบ ทางวิบาก หรือทั้งสองอย่าง จักรยานบางประเภทออกแบบมาเพื่อลักษณะการปั่นบนพื้นผิวทางอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือบางประเภทอาจจะออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้ได้ทั้งสองแบบโดยแค่เปลี่ยนยางก็สามารถปั่นในสภาพทางที่แตกต่างกันได้
          ดังนั้นเรามาเริ่มต้นทำความรู้จักความแตกต่างของจักรยานประเภทต่างๆ ซึ่งในแต่ละประเภทจะเน้นไปที่ความเร็ว ความคล่องตัว หรือความสะดวกสบาย ที่แตกต่างกัน
1) Road Bikes
          เหมาะสำหรับใช้งานบนผิวทางเรียบ โดยทั่วไปแล้วจะมีน้ำหนักเบากว่าพวกเสือภูเขาหรือจักรยานทั่วไป ส่วนใหญ่จะใช้ปั่นบนผิวทางเรียบ เพื่อการออกกำลังกาย เพื่อเดินทางในเมืองหรือทางไกล ท่องเที่ยว และเพื่อการแข่งขัน เหมาะสำหรับนักปั่นตั้งแต่ประเภทมือใหม่ไปจนถึงนักปั่นประเภทขาแรง การเลือกขนาดของจักรยานประเภท Road Bike ที่เหมาะสมกับสรีระร่างกายของนักปั่นและการปรับตั้งตำแหน่งท่าทางการปั่นของนักปั่นให้เข้ากับจักรยานนับเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งหากเราเลือกขนาดของจักรยานและปรับตำแหน่งท่าทางไม่ถูกต้องแล้ว มันอาจจะทำให้เรารู้สึกว่ามันปั่นไม่สนุก ปวดล้า เจ็บปวดร่างกายของเรา นอกจากนี้การปรับตั้งตำแหน่งท่าทางการปั่นที่ไม่ถูกต้องจะทำให้ลดประสิทธิภาพของการปั่นจักรยานของเราอีกด้วย
          จักรยานประเภทนี้บางรุ่นผลิตขึ้นมาเพื่อเน้นเรื่องความเร็วซึ่งจะต้องมีการจัดวางตำแหน่งท่าทางการปั่นของนักปั่นให้ต้องถูกหลักอากาศพลศาสตร์ให้มากที่สุด ในขณะที่บางรุ่นอาจจะไม่เน้นเรื่องความเร็วจึงไม่ต้องเน้นเรื่องอากาศพลศาสตร์ของตำแหน่งท่าทางการปั่นของการปั่นมากนัก จักรยานประเภทนี้บางครั้งอาจจะมีการอุปกรณ์เพิ่มเติมอื่น เช่นแร๊คเพื่อใส่วางสัมภาระและระบบไฟส่องสว่าง ทั้งนี้ก็เพื่อใช้ในการเดินทางในเมือง (Commuting) หรือเพื่อท่องเที่ยว (Touring)
          จักรยานประเภท Road Bike นี้ยังอาจแบ่งได้เป็นสองประเภทตามลักษณะของแฮนด์ดังนี้
  • แฮนด์แบนเสือหมอบ (Drop-bar)
image
มีน้ำหนักเบา เน้นหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการเน้นเรื่องความเร็ว หรือพวกขาแรงทั้งหลาย แฮนด์แบบเสือหมอบนี้ไม่ใช่ต้องให้หมอบปั่นอย่างเดียว แต่เรายังสามารถวางตำแหน่งมือในการการปั่นได้มากกว่าแบบบาร์ตรง ทำให้เราเปลี่ยนท่าทางการปั่นได้ตามความเหมาะสมตามสภาพการปั่นของเรา
  • แบบบาร์ตรง (Flat-bar)
image
เป็นการผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพของเสือหมอบแต่ให้เราปั่นในท่าที่หลังตรงมากขึ้น หรือทำให้เราปั่นในท่าทางที่ผ่อนคลายกว่าเสือหมอบรวมทั้งทำให้มีมุมการมองเห็นเส้นทางของนักปั่นดีกว่า มองเห็นอุปสรรคข้างหน้าดีกว่า ท่าทางการปั่นแบบหลังตรงกว่าเสือหมอบทำให้ลดอาการปวดล้าที่มือ ข้อมือ และไหล่ได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องแลกมากับความเร็วที่ลดลงและประสิทธิภาพในการปั่นของนักปั่น ซึ่งเสือหมอบทำได้ดีกว่าในเรื่องนี้
2) Mountain Bikes (เสือภูเขา)
           ใช้สำหรับผิวทางที่วิบาก แต่ก็สามารถใช้ได้บนทางเรียบ (แต่อาจจะต้องเปลี่ยนยาง) เป็นจักรยานที่ออกแบบมาโดยมีระบบกันสะเทือนและระบบเบรคที่ดีกว่าเสือหมอบหรือประเภท Road Bike เสือภูเขาสามารถลุยไปในเส้นทางที่วิบาก บนผิวทางโรยกรวด หิน ลูกรัง รากไม้ เป็นต้น จักรยานเสือภูเขาที่ดีจะออกแบบให้มีระบบเกียร์ต่ำที่ดีกว่าจักรยานถนนทั่วไปทั้งนี้ก็เพื่อใช้ในเส้นทางหรือภูมิประเทศที่สูงชัน น้ำหนักของตัวจักรยานขึ้นอยู่กับราคา ทั้งนี้เสือภูเขาอาจเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางเลือกหนึ่งหากจะนำมาใช้สำหรับการเดินทางในเมืองเพราะว่ามันทนทานต่อสภาพเส้นทางผิวถนนที่ไม่สู้ดีนัก ไม่เรียบ ขรุขระ ซึ่งแน่นอนว่าจักรยานเสือภูเขาย่อมมีประสิทธิภาพน้อยกว่าจักรยานประเภท Road Bike หากนำมาใช้ปั่นบนทางเรียบ จักรยานเสือภูเขาอาจแบ่งได้ออกอีกเป็น 2 ประเภท
  • ประเภท Hard-tail
image
โดยออกแบบให้มีระบบกันสะเทือนที่ล้อหน้าหรือตะเกียบหน้าอย่างเดียวส่วนที่ล้อหลังไม่มี เสือภูเขาประเภทนี้ราคาไม่แพงและน้ำหนักเบากว่า เสือภูเขาประเภทนี้จะมีความคล่องตัวกว่าหากต้องการใช้สำหรับปั่นบนทางเรียบและทางวิบาก
  • ประเภทกันสะเทือนเต็มรูปแบบ (Full-suspension)
image
จะมีระบบกันสะเทือนทั้งที่ด้านหน้าและหลัง ใช้สำหรับการขี่ในภูมิประเทศหรือเส้นทางที่โหดๆ ใช้กระโดด กระแทก สบายๆ แต่ราคาก็แพงตามความสามารถของมัน
3) Comfort and Hybrid Bikes (จักรยานไฮบริด)
          เหมาะสำหรับใช้บนทางเรียบหรือบนทางลูกรังทางโรยหิน จักรยานประเภทนี้ผลิตขึ้นโดยเน้นความสะดวกสบายในการปั่นและง่ายต่อใช้งาน ใช้ปั่นได้บนสภาพผิวทางที่หลากหลาย บางแบบมีล้อที่ใหญ่เพื่อเพิ่มความนุ่นนวลและประสิทธิภาพในการปั่นรวมทั้งยังมีระบบกันสะเทือนที่ล้อหน้าอย่างดี
  • Comfort bikes ส่วนใหญ่จะมีขนาดล้อที่ใหญ่กว่า 26 นิ้ว ใหญ่กว่าจักรยานทางเรียบทั่วไป มีอานที่นั่งสบาย และท่าทางการปั่นที่ผ่อนคลายมากกว่า  บางรุ่นอาจจะมีระบบขับเคลื่อนแบบเกียร์ดุม (internal hub) เพื่อง่ายต่อการบำรุงรักษา
image
  • จักรยาน Hybrid เป็นการผสมผสานกันระหว่างเสือภูเขากับ Road bike ออกแบบขึ้นมาเพื่อที่จะให้มันเป็นจักรยานที่ปั่นบนถนนแบบสบายๆที่สุด มีอานนั่งปั่นสบายๆ ท่าทางการปั่นที่ไม่ต้องก้มต่ำมากไปทำให้ผ่อนคลายรวมทั้งยังมีระบบกันสะเทือนเพื่อความนุ่มนวลในการปั่น ซึ่งหากเราต้องการที่จะใช้ปั่นไปทำงานหรือปั่นเล่นชิลๆ จักรยานประเภท Hybrid นับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่หากต้องการเน้นเร็วไม่แนะนำให้ใช้จักรยานประเภทนี้
image
4) Urban and Commuting Bikes
image
           ใช้สำหรับทางเรียบหรือทางโรยหินโรยกรวดได้บ้าง ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับการปั่นบนสภาพถนนในเมือง ถูกสร้างให้มีความทนทานและปลอดภัยโดยมีเฟรมและล้อที่แข็งแรง จุดเด่นคือมีตำแหน่งท่าทางการปั่นที่ลำตัวไม่ก้มต่ำมากเหมือนเสือหมอบทำให้ผู้ขี่มองเห็นเส้นทางได้ดีกว่า หากติดแร๊คท้ายแร๊คหน้าทำเป็นจักรยานประเภททัวร์ริ่งได้อย่างดี
5) จักรยานประเภทอื่นๆ
  • จักรยานพับได้ (Folding bike) ซึ่งสามารถพับได้ สามารถพับใส่กระเป๋าหิ้วเดินทางไปกับมันได้ จอดเก็บได้ในพื้นที่ที่จำกัดทั้งที่บ้านหรือที่ทำงาน  มีน้ำหนักเบาแต่ยังคงแข็งแรงและสามารถพับได้ง่ายและรวดเร็ว จักรยานพับเป็นทางเลือกของคนที่ต้องการเดินทางไปพร้อมๆกับจักรยานของตัวเอง
image
  • จักรยานไฟฟ้า ผลิตขึ้นมาโดยมีจุดเด่นคือมีมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำงานด้วยแบตเตอรี่เพื่อช่วยผ่อนแรงปั่น เช่นการปั่นขึ้นเนินได้ง่ายหรือใช้เดินทางในเมืองโดยไม่เหนื่อยแรงมากนัก มีระบบเซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจสอบได้ว่าน้ำหนักที่กดลงที่บันไดเพื่อไปควบคุมการจ่ายไฟให้มอเตอร์ช่วยลดแรงปั่นของผู้ขับขี่
  • จักรยานฟิกซ์เกียร์ เป็นจักรยานที่ระบบเฟืองท้ายไม่สามารถหมุนฟรีได้ และโดยส่วนมากมีเกียร์เดียว ไม่มีเบรค การเบรคจะอาศัยการออกแรงฝืนบันได มีน้ำหนักเบาและดูแลรักษาง่าย
การเลือกจักรยานให้เหมาะสมกับตัวเรา
          ไม่ว่าเราจะเลือกจักรยานประเภทใดก็ตามตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เราต้องแน่ใจว่าเราเลือกขนาดของจักรยานที่พอดีกับร่างกายสรีระของเรา จักรยานที่ขายในตลาดโดยทั่วไปจะมีขนาดเฟรมที่หลากหลายขนาด ในการเลือกขนาดให้เราลองง่ายๆ โดยการยืนค่อมท่อนอน (Top tube) ของจักรยาน โดยทั่วไปแล้วระยะห่างระหว่างเป้าของเรากับท่อนอนจะอยู่ประมาณ 1 นิ้วสำหรับจักรยานประเภท Road Bike และอย่างน้อย 2 นิ้วหรือมากกว่านั้นสำหรับเสือภูเขา หรือจักรยานประเภทอื่นๆ (ควรสวมรองเท้าด้วยในขณะที่การทำการวัดเพื่อให้ได้ขนาดจักรยานที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด)
image
          คราวนี้ก็มาพิจารณาความสูงของอาน เราต้องแน่ใจว่าขาของเราจะต้องงอเล็กน้อยเมื่อเราเหยีบบันไดที่จุดต่ำสุด เราอาจจะปรับความสูงต่ำของอานให้เหมาะสมกับตัวเรา
          นอกจากนั้นระยะการจับแฮนด์จะต้องอยู่ในต่ำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ใช่ใกล้ไปหรือไกลไปซึ่งจะทำให้เราไม่สบายตัวเมื่อปั่นจักรยาน จักรยานที่เราเลือกซื้อควรมีสามารถปรับตำแหน่งการจับแฮนด์ให้เหมาะสมกับตัวเราได้
ทดลองปั่น
          การทดลองปั่นคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะสามารถค้นหาจักรยานที่เหมาะสมกับตัวเรา ร้านจักรยานหลายๆ ร้านให้เราทดลองปั่นได้ลองสืบค้นดูว่ามีร้านไหนให้ลองปั่นได้บ้าง
ป้องกันตัวเอง
          ในการปั่นจักรยานนั้น เรื่องความปลอดภัยของนักปั่นนับเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง อุปกรณ์ป้องกันอันตรายที่จำเป็นต้องมีคือ หมวกกันน๊อค ควรหาหมวกที่พอดีพอเหมาะกับตัวเรา
image
เลือกจำนวนเกียร์เท่าไรดี
          ถ้าเราเคยปั่นจักรยานที่มีแค่ 10 เกียร์มาก่อน เราอาจจะแปลกใจเล็กน้อยว่าสมัยนี้จักรยานโดยส่วนใหญ่มีเกียร์มากขึ้นกว่าเดิม คือ 18, 21, 24 หรือมากกว่านั้น แน่นอนว่าเราอาจจะต้องการใช้จักรยานที่มีเกียร์มากขึ้นหากเราคิดว่าเราจะต้องปั่นขึ้นเนินมากมายหลายระดับความชัน  จำนวนเกียร์ที่มากมายนั้นอาจจะไม่สำคัญเท่ากับว่าเกียร์ต่ำมันสามารถทำงานได้ดีอย่างไรเพราะการขึ้นเนินที่มีความชันต่างๆกันนั้นต้องใช้เกียร์ต่ำในการไต่ขึ้นเนิน จำนวนเกียร์ที่มากเกินความจำเป็นอาจจะสร้างภาระในเรื่องน้ำหนักของตัวจักรยาน รวมทั้งราคาที่แพงขึ้น หรือการบำรุงรักษาก็อาจจะยุ่งยากมากกว่าจักรยานที่มีจำนวนเกียร์น้อยกว่า ลองพิจารณาลักษณะการใช้งานของเราว่าเป็นอย่างไรแล้วเลือกจำนวนเกียร์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน
เรียบเรียงโดย Folding Bike Lovers

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://foldingbikelovers.tumblr.com/post/71024785217

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น