3 เคล็ด(ไม่)ลับ ก้าวแรกสู่การเป็นนักปั่นที่ดี
"นักปั่นที่ดี" คืออะไร? คำถามนี้อยู่ในหัวผมและพยายามจะสร้างบทความเกี่ยวกับการปั่นให้"ดี"แต่ยังไม่สามารถบ่มออกมาได้ จนมีเพื่อนสมาชิกในเพจแนะนำให้ทำบทความเปี่ยวกับกติกามารยาทสำหรับมือใหม่ ประกอบกับเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมไป"สนามเขียว"สุดยอดฮิตของนักปั่นชาวกรุง เป็นวันที่มีอุบัติเหตุเยอะที่สุดในชีวิต ทั้งกรณีการเสียชีวิตจากการออกกำลัง(หัวใจวายเฉียบพลัน) เกี่ยวกันล้ม ซึ่งมีอยู๋หลายจุด หลายครั้งมาก เยอะจนน่าตกใจ ....ว่าแล้วผมก็จึงค่อยๆลำดับความคิดและบ่มมันออกมาเป็นบทความนี้
"นักปั่นที่ดี" คืออะไร? คำถามนี้อยู่ในหัวผมและพยายามจะสร้างบทความเกี่ยวกับการปั่นให้"ดี"แต่ยังไม่สามารถบ่มออกมาได้ จนมีเพื่อนสมาชิกในเพจแนะนำให้ทำบทความเปี่ยวกับกติกามารยาทสำหรับมือใหม่ ประกอบกับเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมไป"สนามเขียว"สุดยอดฮิตของนักปั่นชาวกรุง เป็นวันที่มีอุบัติเหตุเยอะที่สุดในชีวิต ทั้งกรณีการเสียชีวิตจากการออกกำลัง(หัวใจวายเฉียบพลัน) เกี่ยวกันล้ม ซึ่งมีอยู๋หลายจุด หลายครั้งมาก เยอะจนน่าตกใจ ....ว่าแล้วผมก็จึงค่อยๆลำดับความคิดและบ่มมันออกมาเป็นบทความนี้
นักปั่นที่ดี ....ผมว่าเป็นนิยามของบทความนี้ ผมไม่ได้หมายถึงสุดยอดขาแรง ดาวรุ่งดวงใหม่ แต่ผมว่าหากคุณจะเป็น"นักปั่น" ที่เพื่อนๆทั้งที่รู้จจักและไม่รู็จักรักใคร่ยามปั่นด้วย ยามพบเจอกันในกลุ่มบนท้องถนนรวมกลุ่มกันด้วยความสนุก ขอนำเสนอ 3 เคล็ดที่นักปั่นนำมาระลึกกันเอาไว้เสมอ ก่อนจะก้าวหน้าไปเป็นขาแรง มือโปร ขาโปร เรามาเป็น"นักปั่นที่ดี"กันก่อนดีกว่าครับ
1) "นิ่ง"
ผมขอท้าวความไปถึงคำสอนของอดีตโปรจักรยานชาวอเมริกัน ที่สอนผมเมื่อวันที่ผมออกเสือหมอบมาหนึ่งคัน หมายจะขี่ให้มันส์กับฝรั่งในต่างแดน อดีตโปรเจ้าของร้านจักรยานคนนี้ต้อนรับผมขี่ร่วมกลุ่มด้วยความใจดี แต่ให้ผมขี่กับเค้าและเพื่อนอีกคน สามชีวิตปั่นไปด้วยกัน คุยไปด้วยกัน ระยะทาง 30 ไมล์ อากาศราวๆ 5 องศา บทเรียนแรกๆและการบ้านแรกๆที่เค้าสั่งผมคือ "ไปขี่คนเดียว ขี่ให้นิ่ง" คำว่านิ่งของเค้าคือ ความเร็วนิ่ง รอบขานิ่ง คุมรถให้นิ่ง ซึ่งแน่นอนว่าท่านอาจารย์ให้แบบฝึกหัดผมมาฝึกหลายอย่าง (เอาไว้มาว่ากันโอกาสหน้า) แต่ผมขออธิบายว่าทำไมเราต้อง"นิ่ง"ให้เข้าใจก่อนนะครับ
เรื่องการคุมรถให้นิ่งคงเข้าใจได้ไม่ยาก เวลาเราขี่ร่วมทางกับเพื่อนนักปั่นคนอื่น ทั้งกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ จะต้องแซงหรือโดนแซง เร็วแค่ไหนไม่เกี่ยว แต่เราต้องเดินทางไปเป็นเส้นตรง เพราะทุกคนกำลังเดินทางร่วมกันในระยะห่างจากพื้นที่ส่วนตัวเพียงไม่กี่เซ็นติเมตร เรากำลังอนุมานว่าทุกคนจะไปบน"เลน"ของตนเอง การที่ขี่แล้วส่ายเป็นงู หมายถึงสภาวะ"คาดเดาไม่ได้"ของคุณ และเมื่อคุณเป็นคนคาดเดาไม่ได้ โอกาสที่จะเดาใจกันผิดแล้วเสย เกี่ยว ชน สี ครูด กันมันก็ตามมา โชคดีเสียทรัพย์ เจ็บหนักซ้ำเคราะห์ไปหลายกรณีคงไม่ต้องพูดเยอะ แล้วพฤติกรรมแบบนี้บอกได้เลยว่าคุณเจ็บไม่เยอะหรอก คนเจ็บหนักๆ คือคนหลังที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวครับ
ต่อมาความเร็วนิ่ง ... หมายถึงการจำกัดย่านความเร็วในการขี่ให้อยู่ในวงแคบที่สุด หากพบว่า av ของการเดินทางคือ 30 ก็ควรจำกัดความเร็วให้อยู่ในขอบเขตุ 29-30 ไปให้นิ่งๆ รักษาระยะห่างให้นิ่ง กรณีเกิดการเบาขา ผ่อนลง ก็ค่อยๆผ่อนลงแล้วค่อยๆกลับเข้าไปใหม่ ทุกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงความเร็ว จะเกิดระยะห่างที่ไม่คงที่ ซึ่งส่งผลให้คนอื่นขี่ได้ยากขึ้น และยิ่งถ้าเป็นพวก "ปั่นๆหยุดๆ" แบบนี้รับรองว่าคนตามหลังนึกด่าในใจแน่นอนครับ ถ้าคุณไม่สามารถปั่นกับกลุ่มนั้นด้วยความเร็วนั้นให้นิ่งๆได้แปลว่าคุณยังไม่ถึงขั้น มารยาทที่พึงทำคือ ไปอยู่ท้ายสุดครับคุณจะได้สร้างภาระให้เพื่อนน้อยที่สุด
.....ผมอยากให้นึกถึงฝูงปลานะครับ เพราะคำว่า"เปโลตอง"มันแปลว่าฝูงครับ ฝูงปลาตัวเล็ฏๆที่เกาะกันเป็นก้อน ทุกตัวไปในทางเดียวกัน ความเร็ว ที่ว่างคงที่มากที่สุด ถ้ามีซักตัวนึงกำลังยึกยัก หายนะก็ตามมา
ผมขอท้าวความไปถึงคำสอนของอดีตโปรจักรยานชาวอเมริกัน ที่สอนผมเมื่อวันที่ผมออกเสือหมอบมาหนึ่งคัน หมายจะขี่ให้มันส์กับฝรั่งในต่างแดน อดีตโปรเจ้าของร้านจักรยานคนนี้ต้อนรับผมขี่ร่วมกลุ่มด้วยความใจดี แต่ให้ผมขี่กับเค้าและเพื่อนอีกคน สามชีวิตปั่นไปด้วยกัน คุยไปด้วยกัน ระยะทาง 30 ไมล์ อากาศราวๆ 5 องศา บทเรียนแรกๆและการบ้านแรกๆที่เค้าสั่งผมคือ "ไปขี่คนเดียว ขี่ให้นิ่ง" คำว่านิ่งของเค้าคือ ความเร็วนิ่ง รอบขานิ่ง คุมรถให้นิ่ง ซึ่งแน่นอนว่าท่านอาจารย์ให้แบบฝึกหัดผมมาฝึกหลายอย่าง (เอาไว้มาว่ากันโอกาสหน้า) แต่ผมขออธิบายว่าทำไมเราต้อง"นิ่ง"ให้เข้าใจก่อนนะครับ
เรื่องการคุมรถให้นิ่งคงเข้าใจได้ไม่ยาก เวลาเราขี่ร่วมทางกับเพื่อนนักปั่นคนอื่น ทั้งกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ จะต้องแซงหรือโดนแซง เร็วแค่ไหนไม่เกี่ยว แต่เราต้องเดินทางไปเป็นเส้นตรง เพราะทุกคนกำลังเดินทางร่วมกันในระยะห่างจากพื้นที่ส่วนตัวเพียงไม่กี่เซ็นติเมตร เรากำลังอนุมานว่าทุกคนจะไปบน"เลน"ของตนเอง การที่ขี่แล้วส่ายเป็นงู หมายถึงสภาวะ"คาดเดาไม่ได้"ของคุณ และเมื่อคุณเป็นคนคาดเดาไม่ได้ โอกาสที่จะเดาใจกันผิดแล้วเสย เกี่ยว ชน สี ครูด กันมันก็ตามมา โชคดีเสียทรัพย์ เจ็บหนักซ้ำเคราะห์ไปหลายกรณีคงไม่ต้องพูดเยอะ แล้วพฤติกรรมแบบนี้บอกได้เลยว่าคุณเจ็บไม่เยอะหรอก คนเจ็บหนักๆ คือคนหลังที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวครับ
ต่อมาความเร็วนิ่ง ... หมายถึงการจำกัดย่านความเร็วในการขี่ให้อยู่ในวงแคบที่สุด หากพบว่า av ของการเดินทางคือ 30 ก็ควรจำกัดความเร็วให้อยู่ในขอบเขตุ 29-30 ไปให้นิ่งๆ รักษาระยะห่างให้นิ่ง กรณีเกิดการเบาขา ผ่อนลง ก็ค่อยๆผ่อนลงแล้วค่อยๆกลับเข้าไปใหม่ ทุกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงความเร็ว จะเกิดระยะห่างที่ไม่คงที่ ซึ่งส่งผลให้คนอื่นขี่ได้ยากขึ้น และยิ่งถ้าเป็นพวก "ปั่นๆหยุดๆ" แบบนี้รับรองว่าคนตามหลังนึกด่าในใจแน่นอนครับ ถ้าคุณไม่สามารถปั่นกับกลุ่มนั้นด้วยความเร็วนั้นให้นิ่งๆได้แปลว่าคุณยังไม่ถึงขั้น มารยาทที่พึงทำคือ ไปอยู่ท้ายสุดครับคุณจะได้สร้างภาระให้เพื่อนน้อยที่สุด
.....ผมอยากให้นึกถึงฝูงปลานะครับ เพราะคำว่า"เปโลตอง"มันแปลว่าฝูงครับ ฝูงปลาตัวเล็ฏๆที่เกาะกันเป็นก้อน ทุกตัวไปในทางเดียวกัน ความเร็ว ที่ว่างคงที่มากที่สุด ถ้ามีซักตัวนึงกำลังยึกยัก หายนะก็ตามมา
2)"สื่อสาร"
กีฬาจักรยานเป็นหนึ่งในกีฬาที่มีเอกลักษณ์ที่สุดด้านการสื่อสาร ลองคิดดูครับ กลุ่มคนร้อยกว่าคนเดินทางไปด้วยกัน 4-6 ชม. ทั้งทีมเดียวกันและต่างทีม คุยกันไปตลอดทาง ไม่มีกีฬาไหนเป็นแบบนี้แล้วครับ เวลาอยู่ในกลุ่ม ลอง"เสื่อสาร"กันซักนิดครับ จะเป็นการทักทายกัน พูดคุยกัน แซวกันบ้างให้สนุกปากก็ได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดของการสื่อสารคือ "ความปลอดภัย" ผมขอแบ่งการสื่อสารเป็นสองแบบตามทฤษฏีการสื่อสารของมนุษย์เราเลยนะครับ
-การสื่อสารแบบใช้ภาษา อันนี้ก็หมายถึงการพูดคุยกันนั่นแหละครับ นอกจากถามราคาของอัพกันแล้ว การส่งเสียงเตือนและสื่อสารช่วยลดอุบัติเหตุได้มากๆ "ขวานะครับ" "หน้าเบา" "รถหลังมา" "ซ้ายว่าง" และอีกมากมายขอให้มันสั้น กระชับ ดังพอจะได้ยินกัน ...ใครสงสัยลองไปดูพวกคลิปโปรที่แข่งๆกันที่เอากล้องติดรถบรรยากาศในกลุ่มมาให้ดู...มันโวยวายกันตลอดครับ ให้เสียงกันว่าใครจะมา จะไป อยู่ไหน อย่าตกใจถ้าคุณขี่อยู่แล้วพบว่านักปั่นเค้าโวยวายกันตลอดทาง ดีกว่าเงียบแล้วเดาใจกันเองครับ เดาถูกก็ดีไป เดาผิดก็โครม คงไม่คุ้มนะครับ
-การสื่อสารแบบไม่ใช้ถ้อยคำ อันนี้แหละครับสำคัญที่สุด ... ผมไม่ขอเรียกว่า"ภาษามือ" เพราะผมขี่จักรยานที่ไทย อเมริกา ฮ่องกง ... ไม่มีที่ไหนใช้เหมือนซักที่ แม้แต่ไทยเอง ต่างกลุ่มกันก็ไม่เหมือนกัน อเมริกาเองต่างทีมก็มีสัญญาณต่างกัน สิ่งสำคัญคือต้องสื่อสารออกง่ายๆ เอาไว้จะมาจั่วหัวเรื่อง"สัญญาณ" กับ "ภาษา" มือกันอีกที ผมไม่ค่อยสนับสนุนการที่ทุกคนต้องเอาตารางสสัญญาณมือเพื่อการจราจรมาแล้วต้องท่องให้ได้มาใช้ได้ ผมสนับสนุนวิธีการง่ายๆครับ เอาให้มันดูออกเป็นพอ ที่สำคัญ ช่วยกันทำ ช่วยกันส่งต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องถึงกับทำจนมือคุมรถไม่ได้หรอกครับ เรื่องนี้ผมฝากอีกประเด็นคืออย่าตกใจเวลามีคนมาแตะตัวนะครับ เป็นปกติมากๆของจักรยาน ยิ่งขาแรงๆมือเทพๆระยะห่างของเค้าจะน้อยมากๆเพราะเค้านิ่งกันมาก สามารถจับตัวกันได้ บางคนตกใจโดนคนจับตัวส่ายไปมาเกี่ยวกันล้มมีมาแล้ว การแตะตัวกันเป็นการบอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้น อย่าเบียดเข้าไป เป็นการขอทาง หรือแม้แต่ ดันออกไปด้านหน้าเพื่อเปิดช่องให้ตนเอง เป็นเรื่องปกติครับ ผมไม่ได้บอกให้ทำนะครับ แค่ให้รู้ว่าอย่าตกใจ
.....เรื่องการสื่อสารสรุปง่ายๆก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้คุณไม่ต้องเดียวดายบนถนนครับ ทำยังไงก็ได้ให้เพื่อนคุณไปด้วยกันได้ นั่นแหละครับคือหัวใจของมัน
กีฬาจักรยานเป็นหนึ่งในกีฬาที่มีเอกลักษณ์ที่สุดด้านการสื่อสาร ลองคิดดูครับ กลุ่มคนร้อยกว่าคนเดินทางไปด้วยกัน 4-6 ชม. ทั้งทีมเดียวกันและต่างทีม คุยกันไปตลอดทาง ไม่มีกีฬาไหนเป็นแบบนี้แล้วครับ เวลาอยู่ในกลุ่ม ลอง"เสื่อสาร"กันซักนิดครับ จะเป็นการทักทายกัน พูดคุยกัน แซวกันบ้างให้สนุกปากก็ได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดของการสื่อสารคือ "ความปลอดภัย" ผมขอแบ่งการสื่อสารเป็นสองแบบตามทฤษฏีการสื่อสารของมนุษย์เราเลยนะครับ
-การสื่อสารแบบใช้ภาษา อันนี้ก็หมายถึงการพูดคุยกันนั่นแหละครับ นอกจากถามราคาของอัพกันแล้ว การส่งเสียงเตือนและสื่อสารช่วยลดอุบัติเหตุได้มากๆ "ขวานะครับ" "หน้าเบา" "รถหลังมา" "ซ้ายว่าง" และอีกมากมายขอให้มันสั้น กระชับ ดังพอจะได้ยินกัน ...ใครสงสัยลองไปดูพวกคลิปโปรที่แข่งๆกันที่เอากล้องติดรถบรรยากาศในกลุ่มมาให้ดู...มันโวยวายกันตลอดครับ ให้เสียงกันว่าใครจะมา จะไป อยู่ไหน อย่าตกใจถ้าคุณขี่อยู่แล้วพบว่านักปั่นเค้าโวยวายกันตลอดทาง ดีกว่าเงียบแล้วเดาใจกันเองครับ เดาถูกก็ดีไป เดาผิดก็โครม คงไม่คุ้มนะครับ
-การสื่อสารแบบไม่ใช้ถ้อยคำ อันนี้แหละครับสำคัญที่สุด ... ผมไม่ขอเรียกว่า"ภาษามือ" เพราะผมขี่จักรยานที่ไทย อเมริกา ฮ่องกง ... ไม่มีที่ไหนใช้เหมือนซักที่ แม้แต่ไทยเอง ต่างกลุ่มกันก็ไม่เหมือนกัน อเมริกาเองต่างทีมก็มีสัญญาณต่างกัน สิ่งสำคัญคือต้องสื่อสารออกง่ายๆ เอาไว้จะมาจั่วหัวเรื่อง"สัญญาณ" กับ "ภาษา" มือกันอีกที ผมไม่ค่อยสนับสนุนการที่ทุกคนต้องเอาตารางสสัญญาณมือเพื่อการจราจรมาแล้วต้องท่องให้ได้มาใช้ได้ ผมสนับสนุนวิธีการง่ายๆครับ เอาให้มันดูออกเป็นพอ ที่สำคัญ ช่วยกันทำ ช่วยกันส่งต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องถึงกับทำจนมือคุมรถไม่ได้หรอกครับ เรื่องนี้ผมฝากอีกประเด็นคืออย่าตกใจเวลามีคนมาแตะตัวนะครับ เป็นปกติมากๆของจักรยาน ยิ่งขาแรงๆมือเทพๆระยะห่างของเค้าจะน้อยมากๆเพราะเค้านิ่งกันมาก สามารถจับตัวกันได้ บางคนตกใจโดนคนจับตัวส่ายไปมาเกี่ยวกันล้มมีมาแล้ว การแตะตัวกันเป็นการบอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้น อย่าเบียดเข้าไป เป็นการขอทาง หรือแม้แต่ ดันออกไปด้านหน้าเพื่อเปิดช่องให้ตนเอง เป็นเรื่องปกติครับ ผมไม่ได้บอกให้ทำนะครับ แค่ให้รู้ว่าอย่าตกใจ
.....เรื่องการสื่อสารสรุปง่ายๆก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้คุณไม่ต้องเดียวดายบนถนนครับ ทำยังไงก็ได้ให้เพื่อนคุณไปด้วยกันได้ นั่นแหละครับคือหัวใจของมัน
3)"แบ่งปัน"
จักรยานเป็นกีฬาที่แปลก(อีกแล้ว) คนแข่งด้วยกัน ไปด้วยกัน สามารถแบ่งปันกันได้ แม้แต่ระดับอาชีพเคยมีภาพของคู่แข่งแบ่งน้ำกันดื่มก็มีมาแล้ว ลองมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ แบ่งปันกันสักนิดบนถนน ให้ในสิ่งที่คุณมี และคุณจะได้รับในสิ่งที่คุณต้องการ ไม่เฉพาะสิ่งของอย่างพวกน้ำ อาหาร ยางใน สูบ เท่านั้น แต่รวมถึงแบ่งปัน"แรง"ที่มี หากคุณมีแรงเหลือพอที่จะแบ่งเพื่อน อย่าอายที่จะขึ้นไปช่วยลากกลุ่ม แรงมีแค่ 20 วินาที ก็ดีกว่าไม่ช่วยเลย ขอแค่รักษามารยาทกันสักนิด(อันนี้ก็คงต้องยกยอดไปเจาะกันโอกาสหน้า) ผมเชื่อว่าไม่มีใครด่าหรอกครับว่าคุณเอาเปรรียบ แค่คุณขึ้นไปคนอื่นก็รับรู้ว่าคุณกำลังแบ่งปันช่วยเหลือกันแล้ว
และถึงคุณจะ"แรงหมด"ไม่มีเหลือแบ่งเพื่อน หมกเกาะดูดติดไปด้วยกับเค้า ก็ไม่ได้แปลว่าคุณเห็นแก่ตัวนะครับ แรงมันไม่มี ได้เท่าไหนก็เท่านั้น ที่คนเค้าไม่ชอบคือหมกนิ่งแสยะยิ้มรอโอกาสหน้าเส้นได้จังหวะคว้าตะลุมพุกมาตีหัวเพื่อน อ้าวไหนว่าหมด แบบนี้เรียกว่าเห็นแก่ตัวครับ ....แต่ลองสลับขึ้นไปช่วยบ้าง 20 วินาทีก็ยังดี คนที่ได้คือคุณเองครับ เพราะออกแรงมาสุขภาพก็อยู่ท่ตัวเรา 20 วินาทีไม่ได้ก็ 5 วินาที บอกกันหน่อย ไมน่าเกลียดแน่นอนครับ
ถึงคุณจะหมกอยู่ท้าย ถ้าคุณเป็นนักปั่นที่มีประสพการณ์แล้ว ...สิ่งที่คุณแบ่งเพื่อนได้คืำ "กำลังใจ"ครับ กลุ่มหรือทีมที่สามัคคีกันดี มักจะมีนักปั่นคอยอยู๋หลังกลุ่ม คอยไปด้วยกันกับคนที่กำลังหมดแรง ให้กำลังใจ พาเพื่อนไปให้ถึงที่หมาย แม้แต่คอยจังหวะ ไล่เก็บตกลากกลุ่มหลุดมาก็มี
จักรยานเป็นกีฬาที่แปลก(อีกแล้ว) คนแข่งด้วยกัน ไปด้วยกัน สามารถแบ่งปันกันได้ แม้แต่ระดับอาชีพเคยมีภาพของคู่แข่งแบ่งน้ำกันดื่มก็มีมาแล้ว ลองมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ แบ่งปันกันสักนิดบนถนน ให้ในสิ่งที่คุณมี และคุณจะได้รับในสิ่งที่คุณต้องการ ไม่เฉพาะสิ่งของอย่างพวกน้ำ อาหาร ยางใน สูบ เท่านั้น แต่รวมถึงแบ่งปัน"แรง"ที่มี หากคุณมีแรงเหลือพอที่จะแบ่งเพื่อน อย่าอายที่จะขึ้นไปช่วยลากกลุ่ม แรงมีแค่ 20 วินาที ก็ดีกว่าไม่ช่วยเลย ขอแค่รักษามารยาทกันสักนิด(อันนี้ก็คงต้องยกยอดไปเจาะกันโอกาสหน้า) ผมเชื่อว่าไม่มีใครด่าหรอกครับว่าคุณเอาเปรรียบ แค่คุณขึ้นไปคนอื่นก็รับรู้ว่าคุณกำลังแบ่งปันช่วยเหลือกันแล้ว
และถึงคุณจะ"แรงหมด"ไม่มีเหลือแบ่งเพื่อน หมกเกาะดูดติดไปด้วยกับเค้า ก็ไม่ได้แปลว่าคุณเห็นแก่ตัวนะครับ แรงมันไม่มี ได้เท่าไหนก็เท่านั้น ที่คนเค้าไม่ชอบคือหมกนิ่งแสยะยิ้มรอโอกาสหน้าเส้นได้จังหวะคว้าตะลุมพุกมาตีหัวเพื่อน อ้าวไหนว่าหมด แบบนี้เรียกว่าเห็นแก่ตัวครับ ....แต่ลองสลับขึ้นไปช่วยบ้าง 20 วินาทีก็ยังดี คนที่ได้คือคุณเองครับ เพราะออกแรงมาสุขภาพก็อยู่ท่ตัวเรา 20 วินาทีไม่ได้ก็ 5 วินาที บอกกันหน่อย ไมน่าเกลียดแน่นอนครับ
ถึงคุณจะหมกอยู่ท้าย ถ้าคุณเป็นนักปั่นที่มีประสพการณ์แล้ว ...สิ่งที่คุณแบ่งเพื่อนได้คืำ "กำลังใจ"ครับ กลุ่มหรือทีมที่สามัคคีกันดี มักจะมีนักปั่นคอยอยู๋หลังกลุ่ม คอยไปด้วยกันกับคนที่กำลังหมดแรง ให้กำลังใจ พาเพื่อนไปให้ถึงที่หมาย แม้แต่คอยจังหวะ ไล่เก็บตกลากกลุ่มหลุดมาก็มี
.....เคล็โไม่ลับง่ายๆเพียง 3 ข้อนี้ หากท่านทำได้เป็นธรรมชาติ ท่านจะดูเป็นนักปั่นที่น่าเกรงขามขึ้นในทันที เพราะส่วนมากนักปั่นที่ได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่ พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ จะต้องผ่านจุดเหล่านี้เสียก่อน แต่ ณ โลกยุคปัจจุบันนี้ (โดยเฉพาะสังคมกรุง) โอกาสจะได้เรียนรู้เรื่องเหล่นี้อาจจะยาก ต่างคนต่างมา มาถึงก็มาร่วมกันปั่น รวมตัวกัน ความเสี่ยงจึงเกิดขึ้่นเนื่องจากขาดประสพการณ์และการเรียนรู้
Velopedia หวังเป็นอย่างยิ่งว่า 2 หัวข้อนี้ จะสร้างความ"รื่นรมณ์"ในการปั่นจัรกยานของทุกท่าน และช่วยให้เราทุกคนร่วมทางกันไปด้วยกันอย่างปลอดภัย
Velopedia หวังเป็นอย่างยิ่งว่า 2 หัวข้อนี้ จะสร้างความ"รื่นรมณ์"ในการปั่นจัรกยานของทุกท่าน และช่วยให้เราทุกคนร่วมทางกันไปด้วยกันอย่างปลอดภัย
ทิ้งท้ายก่อนจบบทความนี้ ขออินเตอร์สักนิดนะครับ อดีตโปรที่อธิบายผมและจำได้ดีเลย "To be a good cyclist is not about how fast you are, but it is about how good you ride your bike" แปลกันง่ายๆว่า
"จะเป็นนักจัักรยานที่ดีไม่เกี่ยวว่าคุณขี่ได้เร็วแค่ไหน แต่อยู่ท่คุณขี่จักรยานของคุณได้ดีแค่ไหน"
"จะเป็นนักจัักรยานที่ดีไม่เกี่ยวว่าคุณขี่ได้เร็วแค่ไหน แต่อยู่ท่คุณขี่จักรยานของคุณได้ดีแค่ไหน"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น