วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ลิขสิทธิ์รูป เรื่องที่คนทำเว็บไซต์ทุกคนต้องรู้ ก่อนโดนฟ้องหลายแสน

designil-photo-license

ลิขสิทธิ์รูป เรื่องที่คนทำเว็บไซต์ทุกคนต้องรู้ ก่อนโดนฟ้องหลายแสน !!

ทำไมเราต้องสนใจเรื่องลิขสิทธิ์รูปด้วย

จาก Case Study ของบริษัทไทยบริษัทหนึ่ง ที่ใช้รูปจาก Google เล็ก ๆ นิดเดียว แล้วโดนฟ้องจากเว็บไซต์ขายรูปรายใหญ่ของต่างประเทศ Getty Image เป็นเงิน 8 แสนบาท จนเกือบทำให้บริษัทเจ๊งไป ก็น่าจะทำให้บริษัทไทยหลาย ๆ บริษัทตระหนักถึงเรื่องลิขสิทธิ์รูปมากขึ้น
จะเห็นว่าพวกลิขสิทธิ์ของรูปก็ฟ้องกันโหดไม่ต่างกับ การใช้ Font ในเว็บไซต์ สักเท่าไร วันนี้ผมก็มีบทความดี ๆ เกี่ยวกับลิขสิทธิ์รูปในเว็บไซต์มาให้อ่านกันครับ เรื่องนี้สำคัญกับคนทำเว็บไซต์ทุกตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟรีแลนซ์ ที่บางทีลูกค้าหารูปมาจากไหนไม่รู้ แล้วเราโดนฟ้องแทนครับ
บทความนี้เรียบเรียงมาจากบทความ Copyright 101: The 10 Things to know about Imagery ของเว็บไซต์ Sitepoint ครับ ท่านใดถนัดอ่านภาษาอังกฤษก็สามารถแวะเข้าไปที่บทความต้นฉบับได้เลยครับผม

10 ข้อที่ทุกคนต้องรู้เกี่ยวกับลิขสิทธิ์รูปภาพในเว็บไซต์

ข้อ 1 : “ลิขสิทธิ์” คืออะไร

ความคุ้มครองทางกฏหมายที่คุ้มครองผู้สร้างเนื้อหา (รูป, เพลง, วีดิโอ, งานเขียน etc.) จากการถูกผู้อื่นนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

ข้อ 2 : ลิขสิทธิ์จะได้มาตอนไหน

ตั้งแต่วินาทีที่เนื้อหาถูกสร้างขึ้นมาก็ได้รับการคุ้มครองด้านลิขสิทธิ์แล้ว โดยไม่ต้องไปจดทะเบียนตามกฏหมายก็ได้

ข้อ 3 : มีกฏหมายการคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่ใช้ได้ทั่วโลกมั้ย

ไม่มี แต่ละประเทศมีกฏหมายคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่แตกต่างกัน กฏหมายบางประเทศอาจจะสนับสนุนกับกฏหมายอีกประเทศได้ แต่สิ่งที่เหมือนกันทุกประเทศมีอยู่อย่างหนึ่งคือ : ถ้าคุณไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ คุณเอาเนื้อหานั้นไปใช้ไม่ได้

ข้อ 4 : ถ้าเราไม่รู้เรื่องกฏหมายลิขสิทธิ์เลย แล้วโดนฟ้อง ถือว่าผิดมั้ย

อันนี้ไม่ใช่ข้ออ้างครับ ถึงแม้เราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็มีความผิดทางกฏหมายอยู่ดี

ข้อ 5 : ใครจะเป็นคนรับผิดชอบเมื่อมีการละเมิดลิขสิทธิ์ในเว็บไซต์

เจ้าของเว็บไซต์เป็นผู้รับผิดชอบ ถึงแม้ว่าเขาจะจ้างคนอื่นมาทำเว็บไซต์ให้ เจ้าของเว็บไซต์ก็จะเป็นคนแรกที่ต้องรับผิดชอบเมื่อมีการละเมิดลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ถ้าการละเมิดลิขสิทธิ์เกิดจากตัวคนทำเว็บไซต์ เจ้าของเว็บไซต์ก็โยนความผิดไปที่คนทำเว็บไซต์ได้
ประเภทเนื้อหาที่กฏหมายไทยครอบคลุม มีดังนี้ (เรียบเรียงมาจากเว็บไซต์ Thailawonline)
  • งานเขียน (หนังสือ, สิ่งพิมพ์, คำบรรยาย, โปรแกรมคอมพิวเตอร์? ฯลฯ)
  • งานศิลปะ (ภาพวาด, รูปถ่าย, กราฟฟิก ฯลฯ)
  • งานเสียง
  • งานภาพยนต์ (รวมถึง การถ่ายทอดต่าง ๆ)
  • งานแสดง
(ผมสรุปมาจากที่อ่านร่างกฏหมายคร่าว ๆ ในเว็บไซต์อีกทีนะครับผม ซึ่งท่านใดมีความรู้ที่ถูกต้องกว่าสามารถแจ้งได้ครับ และท่านที่ต้องการความถูกต้อง 100% ทางกฏหมายแนะนำให้ปรึกษานักกฏหมายครับ)

ข้อ 6 : ในการทำเว็บไซต์ สิ่งที่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์คืออะไรบ้าง

  • นำเนื้อหาจากเว็บไซต์ผู้อื่นมาลงในเว็บไซต์ตัวเอง โดยคุณสามารถอ้างอิงเป็นย่อหน้า / ประโยคได้ ถ้าคุณให้เครดิตคนเขียนต้นฉบับ และมีลิงค์ไปยังบทความต้นฉบับ
  • นำเนื้อหาในสิ่งพิมพ์ออนไลน์ของผู้อื่น เช่น อีเมล มาลงในเว็บไซต์โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • Forward อีเมลของคนอื่นให้อีกคน โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • แก้ไขเนื้อหาของผู้อื่น ซึ่งเปลี่ยนความหมายไปจากเดิม
  • ข้อนี้สำคัญที่สุดครับ การนำโลโก้, ไอคอน, รูป, วีดิโอ, เสียง จากเว็บไซต์อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

ข้อ 7 : ประเภทลิขสิทธิ์ที่เจอบ่อย ๆ มีอะไรบ้าง

  • Freeware – นำไปใช้ได้ฟรี และนำไปแชร์ต่อได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขหรือเอาไปขายต่อได้โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • Shareware – นำไปใช้ได้ฟรี แต่ถ้าจะใช้ในระยะยาวต้องบริจาคเงิน สามารถนำไปแชร์ได้แต่ต้องให้เครดิตทุกครั้งโดยไม่ต้องขออนุญาต
  • Fair Use – สามารถนำไปใช้ได้เพื่อการศึกษาและเขียนวิจารณ์ โดยไม่ต้องขออนุญาต
  • Creative Commons – นำไปใช้ได้ฟรี แต่ต้องอยู่ในกฏที่ลิขสิทธิ์กำหนดไว้ คุณต้องให้เครดิตเจ้าของเนื้อหาทุกครั้ง โดยเจ้าของเนื้อหาเป็นผู้กำหนดว่า อนุญาตให้แก้ไขมั้ย, บังคับให้คุณเอางานไปแก้แล้วต้องเป็นลิขสิทธิ์ Creative Commons เหมือนกันมั้ย, อนุญาตให้ใช้ในงานค้าขายมั้ย
  • Public Domain – ลิขสิทธิ์ที่เราสามารถนำไปใช้ได้ฟรี โดยไม่ต้องขออนุญาต ครอบคลุมเนื้อหาพวกเรื่องที่เป็นความจริง (เช่น โลกเป็นทรงกลม / ทะเลสีฟ้า) , ไอเดีย, ขั้นตอนการทำงาน และยังครอบคลุมงานที่ลิขสิทธิ์หมดอายุไปแล้วด้วย (เช่น นิยายที่เก่ามาก ๆ)

ข้อ 8 : ถ้ากฏหมายมันยุ่งยากขนาดนี้ แล้วเราจะทำเว็บไซต์ที่มีรูปสวย ๆ ในเว็บไซต์ได้ยังไง

มีหลายทางมากครับ มาดูกันว่าทำยังไงได้บ้าง

A) สร้างมันขึ้นมาเองเลย

เราทำกราฟฟิกเอง ถ่ายรูปเอง เขียนบทความเอง มันก็เป็นของเรา 100% ตามกฏหมายครับ นอกจากนั้นเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีก็ช่วยให้เราทำเนื้อหาคุณภาพดีได้ง่ายขึ้น มีโปรแกรมทำกราฟฟิก โปรแกรมตกแต่งภาพที่สะดวกขึ้น ทำให้การทำเนื้อหาขึ้นมาเองไม่ยากจนเกินไป
หรือถ้าทำไม่เป็น ก็มีหนังสือสอนมากมาย รวมถึงเนื้อหาฟรีบนอินเตอร์เน็ตที่จะช่วยให้เราเก่งขึ้นมาได้ นอกจากนั้นในระยะยาวเรายังสามารถขายรูปถ่ายของเราให้กับคนอื่นที่ไม่สนใจจะทำเองได้อีกด้วย

B) ถ้าคุณเป็นฟรีแลนซ์ ลองให้เวลาตัวเองเดือนละ 1 วันมาถ่ายรูป

หาวันว่าง ๆ สักวันมาถ่ายรูปที่ต้องใช้บ่อย ๆ เช่น เครื่องคิดเลข, โทรศัพท์, มือถือ, ลำโพง, คนจับมือ, เงิน ฯลฯ รับรองว่าจะช่วยเบาเงิน และเบาแรงคุณในอนาคตได้อีกเยอะ
รูปพวกนี้คนส่วนใหญ่มักจะซื้อจากในเว็บไซต์ขายรูปกัน ถ่ายเสร็จก็เอาไปขายได้นะครับ

C) ติดต่อช่างถ่ายรูปโดยตรง

คุณสามารถติดต่อกับช่างถ่ายภาพเพื่อขอรูปเค้ามาใช้ในเว็บไซต์ได้ครับ โดยแลกเปลี่ยนกับการให้เครดิตรูปเพื่อช่วยเผยแพร่เจ้าของผลงาน ซึ่งมีคนถ่ายรูปสวย ๆ ทั้งบน Instagram และเว็บไซต์ DeviantArt ที่จะอยากนำผลงานมาลงในเว็บไซต์ของคุณแลกกับเครดิต

D) ซื้อจากเว็บไซต์ขายรูป (STOCK PHOTO)

อันนี้เป็นทางออกที่หลาย ๆ บริษัทเลือกใช้กันครับ เป็นการซื้อรูปมาจากเว็บไซต์ขายรูป ซึ่งจะทำให้เราสามารถเอารูปเหล่านั้นไปใช้บนเว็บไซต์ได้อย่างถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เราก็ยังมีโอกาสโดนฟ้องได้ ถ้าเว็บไซต์ที่เราซื้อรูปมาไม่ได้เอารูปนั้นมาขายอย่างถูกกฏหมาย
ถ้าลองไปค้นดูจะพบว่ามีกรณีที่เว็บไซต์ขายรูปชื่อดัง อย่าง Getty Images หรือ Corbis โดนฟ้องจากเจ้าของรูปที่ไม่เคยเอารูปมาขาย แต่รูปกลับมาโผล่ในเว็บไซต์ให้คนอื่นเข้ามาซื้อได้

ข้อ 9 : ขนาดเว็บขายรูปยังมีปัญหาขนาดนี้ แล้วเราจะเชื่อใครดี ?

จริง ๆ ถ้าจะบอกว่าอย่าเชื่อใครเลยก็ไม่ผิด แต่เราอาจมีโอกาสรอดมากขึ้นโดยทำสิ่งเหล่านี้ทุกครั้งที่มีการซื้อขายรูป:
  1. เก็บใบเสร็จ และใบเสนอราคาไว้ให้ดี
  2. ถ่ายภาพหน้าจอของ Terms of use, ข้อมูลลิขสิทธิ์, และเนื้อหาต่าง ๆ ที่บอกว่ารูปนี้มีลิขสิทธิ์แบบ “Royalty Free (ในไปใช้ทางการค้าได้)”
อย่าลืมว่าแม้แต่เว็บแจกรูปฟรี ที่บอกว่ารูปพวกนี้เป็น Public Domain เอาไปใช้ยังไงก็ได้ ก็ยังมีโอกาสที่เค้าจะไปเอารูปจากเว็บขายรูปมาลง ซึ่งทำให้เราโดนฟ้องได้ เพราะฉะนั้นเวลาเจอรูปสวย ๆ ที่ฟรี หรือราคาถูกมาก ๆ ให้ระวังตัวกันไว้ให้ดีครับ

ข้อ 10 : เรื่องสุดท้ายที่เราควรคำนึงถึงตอนทำเว็บไซต์

ระวังการใช้รูปถ่ายที่แถมมากับ Template เว็บไซต์ไว้ให้ดีครับ เพราะถึงคุณจะจ่ายเงินซื้อ Template มาใช้ สิ่งที่คุณซื้อคือ Code กับ Layout ของเว็บไซต์ ไม่ได้ซื้อรูป ลิขสิทธิ์ของรูปพวกนี้จะไม่ได้ให้กับคุณ หรือเว็บไซต์ใหม่ที่คุณจะสร้าง โดยส่วนใหญ่ลิขสิทธิ์รูปจะให้กับ “คนที่สร้าง Template” คนเดียวเท่านั้น และถูกใช้เพื่อสาธิตการวางเนื้อหาลงใน Template เท่านั้น
อ่านมาถึงตรงนี้คุณอาจจะรู้สึกว่าการนำรูปถ่ายมาใช้ในเว็บไซต์นี่ยากเหลือเกิน ผมก็ขอสรุปเทคนิคการนำภาพมาใช้แบบสั้น ๆ ครับ: พยายามถ่ายรูปเอง หรือให้คนรู้จักถ่าย แต่ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ ก็ให้เช็คดี ๆ ว่าภาพจากที่ใด ๆ ที่นำมาใช้มีลิขสิทธิ์เป็นลายลักษณ์อักษร แม้แต่ Google Image ที่เดี๋ยวนี้ค้นหารูปแบบ Creative Commons ได้แล้ว ทางกูเกิ้ลเองก็ยังบอกว่า “เราไม่ได้การันตีว่ารูปเหล่านี้จะเป็น Public Domain จริง ๆ หรือเป็นลิขสิทธิ์อื่น”
สุดท้ายนี้ผมก็มีเว็บไซต์ขายรูปดี ๆ ที่น่าเชื่อถือได้มาฝากกันครับ

รวมเว็บไซต์ขายรูปที่ราคาไม่แพง และไม่ค่อยมีปัญหาฟ้องร้อง

VIVOZOOM – การันตีรูปถูกลิขสิทธิ์ รับประกันด้วยเงิน 25,000 ดอลล่า

vivozoom
เว็บไซต์ Vivozoom เป็นเว็บไซต์แรกที่กล้าบอกว่า ถ้ามีการฟ้องร้องเกิดขึ้นทางเว็บไซต์ยินดีจ่ายเงิน 25,000 ดอลล่า เพื่อช่วยเหลือในการฟ้องร้องทางกฏหมาย

SHUTTERSTOCK – การันตีด้วยเงิน 10,000 ดอลล่า

shutterstock
เว็บไซต์ Shutterstock ก็การันตีว่าจะให้เงินถึง 10,000 ดอลล่าถ้ามีการฟ้องร้องลิขสิทธิ์เกิดขึ้น ซึ่งความจริงแล้วฟ้องร้องครึ่งนึงแค่ 10,000 ดอลล่าไม่พอแน่ ๆ ครับ ท่านใดมีเว็บไซต์ที่แนะนำเกี่ยวกับการซื้อรูปภาพ สามารถแจ้งมาในส่วน Comment ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะเพิ่มลงในลิสต์ตรงนี้ให้ครับผม หรือถ้าท่านใดมีประสบการณ์โดนฟ้องเรื่องลิขสิทธิ์รูป รบกวนมาแชร์เพื่อให้ท่านอื่น ๆ ได้ระวังตัวกันด้วยครับผม

เพิ่มเติม : การฟ้องลิขสิทธิ์รูปในศาล

เจ้าของลิขสิทธิ์จะเรียก กี่ล้าน กี่สิบล้านก็ตาม สุดท้ายแล้ว ศาลจะเป็นผู้กำหนด อัตราเงินให้โจทก์เอง

(ฟ้องไป 10ล้าน ที่ได้จริงๆคือ หมื่นห้า 5555555555555+)
แต่ฟ้องให้ดูเยอะไว้ก่อน จะได้ขู่คนอื่นด้วย
จากคุณ Agrias Oaks

เพิ่มเติม : การเอารูปมีลิขสิทธิ์มาลง FACEBOOK ผิดมั้ย

การนำ รูปที่มี ลิขสิทธิ์ มาใช้เป็นดิสเฟสบุ๊ค……ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ต่อเจ้าของลิขสิทธิ์ตาม มาตรา 15 (2) ในส่วนของการนำ ผลงานนั้น มาเผยแพร่ต่อสาธารณะชนครับ

สรุปคือ ผิด……..แต่ผู้ที่มีอำนาจฟ้อง คือ เจ้าของ คนเดียวเท่านั้น 
และแน่นอนว่า บางครั้งเจ้าของอยู่ ต่างประเทศ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเอามาใช้

และบ่อยครั้ง ถึงเขารู้ก็ไม่สนใจ เพราะ
1. เราไม่ได้เอาไปขาย หรือทำอะไร แค่เอามาเป็นดิสเพลย์เท่านั้น
2. เค้าขี้เกียจ ทำเรื่องฟ้องข้ามประเทศ (ยุ่งยาก + เสียเงินเยอะ)
3. บางครั้ง เจ้าของผลงาน คิดไปในทาง ภูมิใจเสียด้วย

แต่นั่นคือ กรณี เราเอามาใช้เฉยๆ ไม่ใช่ในทางพาณิชย์นะครับ
จากคุณ Agrias Oaks

ข้อมูลจาก http://www.designil.com/image-photo-license-101.html

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วิธีลดน่องใหญ่ กล้ามเนื้อน่องโต ให้ได้ผลเร็วที่สุด 22 วิธี !!

วิธีลดน่องใหญ่ กล้ามเนื้อน่องโต ให้ได้ผลเร็วที่สุด 22 วิธี !!

วิธีเพิ่มน้ําหนัก 20 วิธี ! อยากอ้วนขึ้นทำไงดี ?

วิธีเพิ่มน้ําหนัก 20 วิธี ! อยากอ้วนขึ้นทำไงดี ?

20 วิธีเลิกเหล้า ! ติดสุรา อยากเลิกเหล้าทำไงดี ??

20 วิธีเลิกเหล้า ! ติดสุรา อยากเลิกเหล้าทำไงดี ??

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

คีโม กับ มะเร็ง เรื่องจริงที่หมอ ไม่ได้บอก

คีโม กับ มะเร็ง
เรื่องจริงที่หมอ ไม่ได้บอก
(ยาวหน่อยแต่มีสาระครับ)
------------------------------
…หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะลองและใช้ในการกำจัดโรคมะเร็งในที่สุด โรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก-
# ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์
1.ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซล มะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐานจนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล(1,000,000,000 เซล)เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้วมันหมาย ถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้ เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอจนถึง ระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น
2.เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง
3.เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไ ม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก
4.เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็งมันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับ โภชนาการซึ่งอาจเกิดจากยีนสิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต
5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการ เกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภท ของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วย ให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
6.การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็น พิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูกทำลาย ระบบทางเดินอาหาร ฯลฯและเป็นสาเหตุทำ ให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลายเช่นตับ ไต หัวใจปอดฯลฯ
7..……
8.การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะ ช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่าง ไรก็ตาม ถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก
9.เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกัน อาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับ ซ้อนยิ่งขึ้น
10.การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็น สาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย
11.วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็งคือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัวอะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง
- A.น้ำตาลคือ อาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให กับเซลมะเร็งสารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น"" นิวตร้าสวีต"" "" อีควล"" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวานซึ่งเป็นอันตรายสารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่า คือน้ำผึ้ง มานูคา(จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อยแต่ใน ปริมาณน้อยๆเท่านั้นเกลือสำเร็จรูป ก็ใช้สาร เคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้"" แบรก อมิโน"" หรือ เกลือทะเลแทน
- B.นม เป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็ง จะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือกการใช้ นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้ เซลมะเร็งไม่ ได้รับอาหาร
- C.เซลมะเร็งเติบโต ได้ดี ในภาวะแดล้อมที่ เป็นกรด อาหารจำพวก เนื้อ จะสร้างสภาวะ กรดขึ้นดังนั้นจึงควรหันไปรับประทาน ปลา จะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทน เนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่ สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์และเชื้อปรสิต บางประเภทตกค้างอยู่ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
- D.อาหารที่ประกอบด้วยผักสด80% และน้ำ ผลไม้พืช จำพวกหัวเมล็ดถั่วเปลือกแข็ง และ ผลไม้จำนวนเล็กน้อยจะช่วยทำให้ร่างกายมี สภาวะเป็นด่างอาหารอีก20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่วน้ำผักสด จะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึม ทราบสู่ระดับเซลภายใน 1 นาที เพื่อบำรุงร่า งกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้ พยายามดื่มน้ำผักสด (ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่ว ที่มีหน่อหรือต้นอ่อน)และรับประทานผักสด ดิบ2-3 ครั้งต่อวันเอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่าย ที่อุณหภูมิ140 องศาF (ประมาณ 4 องศา C)
- E.ให้หลีกเลี่ยงกาแฟน้ำชาและช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียว ถือเป็นทางเลือกที่ดี และมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งน้ำดื่มให้ เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซิน และโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรดให้หลีกเลี่ยง
12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยากและต้องการ เอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อยเนื้อ สัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาห ารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น
13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือ การรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอ มาใช้โจมตี กำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็งและช่วยให้ เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดี ขึ้น
14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน (สารIP6 [inositol hexaphosphate หรือ phyti acid],สาร Flor-essence, สารEssiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน, เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามาร ถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้นสารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอีเป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตาย ลงของเซลหรือ กำหนดระยะเวลาการตาย ของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกาย ในการ กำจัดเซลที่ถูกทำลายซึ่งไม่เป็นที่ต้อง การ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป
15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์ กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณการป้องกันเชิงรุก และ การคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถ อยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความ โกรธ การไม่รู้จักให้อภัยและความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมี สภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้นให้เรียนรู้ที่จะมีความ รักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัยเรียนรู้ที่ จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต
16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ใน สภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมากการออก กำลังกายทุกวันและการหายใจลึกๆจะช่วยให้ ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับ เซลการบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีก อย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง
ข้อมูลนี้คุณ Hning Hn "ได้กรุณาให้เพิ่มเติมมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆครับ
ที่มา- Ze-Oil By Empowerlife

Where workout @ ... Episode 15 คันคลองเซอร์กิต กลุ่มหน้าไปไหนก็ไม่รู้

วันตรุษจีน

วันตรุษจีน หรือ เทศกาลฤดูใบไม้ผลิขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ และยังรู้จักกันในนาม วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนเทศกาลนี้ เริ่มต้นใน วันที่ 1 เดือน 1 ของปีตามจันทรคติ และสิ้นสุดในวันที่ 15 (ปี 2558 นี้ ตรงกับวันที่ 19 กุมภาพันธ์) ซึ่งจะเป็นเทศกาลโคมไฟคืนก่อน วันตรุษจีน ในวันตรุษจีนจะมีการเฉลิมฉลองทั่วโลก โดยเฉพาะชุมชนเชื้อสายจีนขนาดใหญ่ และนับเป็นช่วงวันหยุดช่วงสำคัญช่วงหนึ่งของชาวจีน สำหรับวิธีเฉลิมฉลองตรุษจีนนั้นแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น

เพลงตรุษจีน 恭喜发财发大财


Happy Chinese New Year 2015

ประวัติวันตรุษจีน

วันตรุษจีน เป็นวันสำคัญของจีนที่มีมาแต่โบราณที่เรียกว่า “กว้อชุนเจี๋ย” หรือ “กว้อเหนียน” เล่ากันว่าในสมัยโบราณ ในป่าทึบแห่งหนึ่ง มีสัตว์ป่าที่ดุร้ายและน่ากลัวมากตัวหนึ่ง เรียกว่า “เหนียน” มันออกอาละวาดกินคนเป็นประจำ พระเจ้าจึงลงโทษมัน อนุญาตให้มันลงมาจากเขาได้เพียงหนึ่งครั้งใน 365 วัน ดังนั้น
วันตรุษจีน
เมื่อฤดูหนาวใกล้จะผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิเวียนมาใกล้ เหนียน ก็จะออกมาทำร้ายผู้คน เพื่อป้องกันการมาของ เหนียน ทุก ๆ ครัวเรือนจึงต่างสะสมเสบียงอาหาร และกับข้าวจำนวนหนึ่งไว้ในบ้าน เมื่อถึงตอนค่ำของวันที่ 30 เดือน 12 ก็จะปิดประตูและหน้าต่างเอาไว้ ไม่หลับไม่นอนตลอดคืน เพื่อต่อสู้กับ เหนียน จนกระทั่งถึงรุ่งเช้าก็จะเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 1 เมื่อ เหนียน กลับไปแล้ว ทุก ๆ ครัวเรือนก็จะเปิดประตูออกมาแสดงความยินดีต่อกัน ที่โชคดีไม่ได้ถูก เหนียน ทำร้าย
ต่อมาพบว่า เหนียน มีจุดอ่อนว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อ เหนียน มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังหวดแส้เล่นกัน เมื่อ เหนียน ได้ยินเสียงแส้ดังเปรี้ยงปร้างก็เลยตกใจเผ่นหนีไป เมื่อ เหนียน ไปถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง เห็นมีชุดเสื้อผ้าสีแดงตากอยู่หน้าบ้านของครอบครัวหนึ่ง สีแดงฉูดฉาดนั้น ทำให้ เหนียน ตกใจและเผ่นหนีไปอีก เมื่อ เหนียน มาถึงหมู่บ้านแห่งที่สาม ปรากฏว่าไปพบเห็นกองเพลิงกองหนึ่งบนถนน แสงเพลิงที่เจิดจ้าทำให้ เหนียน ต้องเผ่นหนีไปอีก ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนต่างรู้ว่า แม้ว่า เหนียน จะดุร้ายแต่มันก็กลัวสีแดง เสียงดัง และไฟ ทำให้ผู้คนสามารถคิดหาวิธีกำจัด เหนียน ได้โดยไม่ยากนัก
เมื่อวันส่งท้ายตรุษจีนเวียนมาอีกครั้งหนึ่ง ทุก ๆ ครัวเรือนจึงต่างนำกระดาษสีแดงมาติดไว้บนประตูหน้าบ้าน แขวนโคมไฟสีแดง พร้อมกับจุดประทัดและตีฆ้องรัวกลองอย่างต่อเนื่อง เมื่อ เหนียน มาถึงในตอนเย็น เห็นทุก ๆ ครัวเรือนมีแสงไฟสว่างไสว มีเสียงประทัดดังสนั่นจึงตกใจเผ่นหนีกลับเข้าป่าไป และไม่กล้าออกมาอาละวาดอีก ทุก ๆ คนจึงผ่านพ้นคืนแห่งอันตรายไปอย่างปลอดภัย เมื่อฟ้าสางแล้ว ผู้คนจึงออกมาจากบ้าน กล่าวคำอวยพรซึ่งกันและกันอย่างมีความสุข พร้อมกับการนำอาหารออกมารับประทานร่วมกันอย่างสนุกสนาน ต่อมา วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็น วันเฉลิมฉลองที่มีแต่ความสุขที่เรียกกันว่า “ตรุษจีน
วันไหว้ตรุษจีน 2556
วันตรุษจีน 2558

การไหว้เจ้า

การไหว้เจ้าเป็นธรรมเนียมประเพณีที่ลูกหลานจีน ปฏิบัติสืบทอดกันมาตามความเชื่อที่จะต้องไหว้เจ้าที่ และไหว้บรรพบุรุษเพื่อให้เป็นสิริมงคล และนำมาซึ่งความสุขความเจริญแก่ครอบครัว ในปีหนึ่งจะมีการไหว้เจ้า 8 ครั้ง คือ
- ไหว้ครั้งแรกของปี ไหว้เดือน 1 วันที่ 1 คือ ตรุษจีน เรียกว่า “ง่วงตั้งโจ่ย
– 
ไหว้ครั้งที่สอง ไหว้เดือน 1 วันที่ 15 เรียกว่า “ง่วงเซียวโจ่ย
– ไหว้ครั้งที่สาม ไหว้เดือน 3 วันที่ 4 เรียกว่า “ไหว้เช็งเม้ง” เป็นประเพณีที่ลูกหลานไปไหว้บรรพบุรุษที่ฮวงซุ้
– ไหว้ครั้งที่สี่ ไหว้เดือน 5 วันที่ 5 เรียกว่า “โหงวเหว่ยโจ่ย” เป็นเทศกาลไหว้ขนมจ้า
– ไหว้ครั้งที่ห้า ไหว้เดือน 7 วันที่ 15 คือ ไหว้สารทจีนเรียกว่า “ตงง้วงโจ่ย
– ไหว้ครั้งที่หก ไหว้เดือน 8 วันที่ 15 เรียกว่า “ตงชิวโจ่ย” ที่คนทั่วไปรู้จักกันดีว่า ไหว้พระจันทร
– ไหว้ครั้งที่เจ็ด ไหว้เดือน 11 ไม่กำหนดวันแน่นอน เรียกว่า “ไหว้ตังโจ่ย
– 
ไหว้ครั้งที่แปด ไหว้เดือน 12 วันสิ้นปี เรียกว่า ไหว้สิ้นปี หรือ “ก๊วยนี้โจ่ย

การจัดของไหว้วันตรุษจีน

- ถ้าจัดใหญ่ นิยมเป็นตัวเลข 5 คือ มีของคาว 5 อย่าง เรียกว่า “โหงวแซ” ประกอบด้วย หมู ไก่ ตับ ปลา และกุ้งมังกร แต่เนื่องจากกุ้งมังกรนั้นแพงและหาไม่ง่าย จึงนิยมไหว้เป็ดหรือปลาหมึกแห้งแทน ของหวาน 5 อย่าง เรียกว่า “โหงวเปี้ย” อาจเป็นซาลาเปาไส้หวาน ขนมไข่ ขนมถ้วยฟู ขนมกุยช่าย และขนมจันอับ ผลไม้ 5 อย่าง เรียกว่า “โหงวก้วย
- ถ้าจัดเล็ก ก็เป็นชุดละ 3 อย่าง มีของคาว 3 อย่างเรียกว่า “ซาแซ” ของหวาน 3 อย่าง เรียกว่า “ซาเปี้ย” ผลไม้ 3 อย่าง เรียกว่า “ซาก้วย” หรือจะมีแค่อย่างเดียวก็ได้

ผลไม้ที่นิยมกันมากที่ใช้ในการไหว้

  • ผลไม้ไหว้ วันตรุษจีน ส้ม เรียกว่า “ไต้กิก” แปลว่า โชคดี
  • ผลไม้ไหว้ วันตรุษจีน องุ่น เรียกว่า “พู่ท้อ” แปลว่า งอกงาม
  • ผลไม้ไหว้ วันตรุษจีน สับปะรด เรียกว่า “อั้งไล้” แปลว่า มีโชคมาหา
  • ผลไม้ไหว้ วันตรุษจีน กล้วย มีความหมายถึง การมีลูกหลานสืบสกุล

รูปภาพวันตรุษจีน

วันตรุษจีน
วันตรุษจีน
วันตรุษจีน
วันตรุษจีน
วันตรุษจีน

ข้อมูลจาก http://scoop.mthai.com/specialdays/1505.html

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ขั้นตอนและวิธีการสมัคร YouTube ช่องทางหารายได้จากคลิปวิดีโอบน YouTube

ขั้นตอนและวิธีการสมัคร YouTube Monetize ช่องทางหารายได้จากคลิปวิดีโอบน YouTube


หลังจากที่กูเกิลประเทศไทยได้ทำการเปิดตัว YouTube.co.th ไปแล้วอย่างเป็นทางการ ซึ่งนอกจากการประกาศจะบุกตลาดไทยอย่างเป็นทางการของกูเกิลแล้ว ยังถือเป็นข่าวดี(มาก) สำหรับคนที่ทำคลิปลงบน YouTube ในไทย

เพราะการมาของ YouTube Thailand นั้นมาพร้อมกับช่องทางการซื้อและทำรายได้จากโฆษณา บนคลิป YouTube ที่เราเป็นเจ้าของนี่เอง พูดง่ายๆ ว่าอัพคลิป -> มีคนดู -> ได้ตังค์

จากที่ทดสอบด้วยตัวเอง พบว่ามีขั้นตอนและความยุ่งยากอยู่พอสมควร เลยมาเขียนบล็อกแนะนำวิธีกันจ้า


รู้จักกับ YOUTUBE MONETIZE


  • ในขณะที่หลายคนกำลังบ่นว่าทำไมตอนนี้โฆษณาบน YouTube เยอะจัง มีวิดีโอคั่นก่อนดูคลิปด้วยบลาๆๆ 
  • แต่หารู้ไม่ว่าโฆษณาเหล่านั้น นอกจากจะแบ่งรายได้ให้กับ YouTube เจ้าของ Platform แล้ว ยังแบ่งรายได้ให้เจ้าของคลิปด้วยนะ
  • สำหรับช่องทางที่ YouTube สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่ทำวิดีโอสามารถหารายได้ ก็มาจากโฆษณานี่แหล่ะ
  • การโฆษณาหลักๆ มี 2 รูปแบบหลักๆ คือโฆษณาด้านข้างในหน้าเว็บ กับโฆษณาที่เป็นคลิปสั้นๆ ก่อนเข้าถึงวิดีโอของเรา
ติดตั้งเสร็จเราอาจจะได้เห็นโฆษณา Samsung ในคลิปของ MacThai ด้วยนะ ว้าวว <3
  • ถ้ามีคนกดเข้ามาดูคลิปเรา แล้วได้เห็นโฆษณาเหล่านั้น เราก็จะได้ตังค์
  • ถ้ามีคนกดเข้ามาดูคลิปเรา แล้วกด Click เข้าไปที่โฆษณา เราก็จะได้ตังค์ที่มากขึ้นไปอีก
  • รายได้ดีแค่ไหน ? อันนี้ก็แล้วแต่จำนวนยอดวิวและการลงโฆษณาของบริษัทต่างๆ คือถ้าไม่มีคนซื้อโฆษณาใน YouTube เราก็ไม่ได้ตังค์เหมือนกันไง
  • แต่ถ้าคุณเคยเห็นหลายรายการในต่างประเทศ เขาทำคลิปลง YouTube เพียงช่องทางเดียวเลยก็มีนะ ไม่ต้องลงทีวีอะไรเลย แต่ก็ดังและได้ตังค์แบบหาเลี้ยงชีพได้เลยแหล่ะ
  • ใครควรสมัคร Monetize บ้าง ? ผมว่าทุกคนที่อัพคลิปลง YouTube ควรสมัครนะ อย่างน้อยวันนึงคลิปของเราอาจจะดังยอดคนดูเป็นล้านก็ได้ ใครจะรู้

สำหรับคนที่บ่นเรื่องโฆษณาที่เยอะขึ้น อันนี้ต้องขอให้ "เข้าใจ" มากกว่าทำใจ เพราะไม่มีของฟรีในโลก ดูบอลโลกยังต้องจ่ายเงิน ดูหนังยังต้องจ่ายเงิน

การดูคลิปบน YouTube แล้วมีโฆษณา (ซึ่งกดข้ามได้) ก็ไม่ต่างจากการดูโฆษณาช่วงพักของละครในทีวีเลยล่ะจ้า (ซึ่งกดข้ามไม่ได้)


วิธีและขั้นตอนการสมัคร YOUTUBE MONETIZE


สิ่งที่คุณต้องมีก่อนเริ่มหารายได้จาก YouTube คือ

  • Account ใน YouTube (ก็แน่ล่ะ)
  • Account ใน AdSense ซึ่งเป็นช่องทางการผูกบัญชีและการรับตังค์ที่ง่ายที่สุดแล้ว ใครยังไม่สมัคร ก็ไปสมัครได้เลย -> Google AdSense


วิธีการสมัคร

  • ไปที่ YouTube.co.th และ Login ชื่อของเรา
  • เข้าไปที่ Monetization (หรือเข้าจาก Dashboard -> Channel Settings -> Monetization)
  • เลือกไปที่ Enable My Account เพื่อเปิดใช้งาน

  • จะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เราอ่านข้อตกลงต่างๆ ถ้าตกลงก็ติ๊กทั้งหมด แล้วกด I Accept
  • ถ้าสำเร็จ ก็จะขึ้นว่า Account ของเราได้เข้าร่วมโปรแกรม Monetization แล้ว
  • จากนั้นในหน้าเดียวกัน เลือกเปิดหัวข้อที่ชื่อ "How will I be paid ?" ด้านล่าง แล้ว Click ไปที่ "associate an AdSense account"

  • เว็บจะเข้าไปที่หน้าผูกบัญชี YouTube กับ AdSense ให้เราคอนเฟิร์มว่าจะเลือก Account นี้รึเปล่า ถ้าใช่เลือก "Yes"

  • เลือกภาษาของเนื้อหาใน YouTube ของเรา ซึ่งควรเลือกภาษาที่เราใช้จริงๆ เพราะจะมีทีมงานของกูเกิลเข้ามารีวิวด้วย จากนั้นกด "Accept Associate"

  • เว็บจะเด้งกลับมาที่ YouTube ถ้ามีขึ้นหัวข้อ AdSense Association แปลว่าเราได้ผูกบัญชีเรียบร้อยแล้ว


วิธีการเลือกว่าจะรับค่าโฆษณาจากคลิปไหน
  • ไม่ใช่ทุกคลิปที่เราจะเลือกรับเงินค่าโฆษณา คือถ้าคลิปไหนเราเลือกรับตังค์ คลิปนั้นก็จะมีโฆษณาเยอะผิดปกติ ซี่งอาจจะมีผลให้คนดูลดลงได้เหมือนกัน
  • วิธีเลือกว่าจะ Monetize คลิปไหนบ้าง ไปที่ Video Manager
  • จากนั้นเลือกคลิปที่ต้องการ แล้วเลือกไป "Actions" ด้านบน จะมีหัวข้อ Monetize ให้เลือก ถ้าเรากดปุ๊บก็จะเลือกให้มีโฆษณาในคลิปนั้น
  • บางคลิปถ้าเราละเมิดกฏบางอย่างใน YouTube เช่นใช้เพลงของคนอื่น ก็จะไม่สามารถขอรับค่าโฆษณาได้ เช่นคลิปนางแบบใน MacThai ใช้วิดีโอจากบางค่ายเพลง ที่ไม่อนุญาต ผมก็ไม่มีสิทธิได้ค่าโฆษณาจากคลิปนี้ (ป้องกันการก๊อปคลิปศิลปินไปหาตังค์นั่นเอง)

  • คลิปไหนที่ใช้ Monetize ได้ จะมีรูป $ อยู่ด้านหลัง
  • ถ้าเรากดเข้าไป Edit ที่วิดีโอนั้น เราจะเลือกได้ด้วยว่าให้โชว์โฆษณาบริเวณไหนบ้าง
  • เท่านี้เราก็รอรับตังค์จากค่าโฆษณาในคลิปพันล้านของเราได้แล้วจ้า ^o^


วิธีดูรายได้จาก YouTube Monetize
  • รายได้จะไม่โชว์ทันทีหลังจากที่เราสมัคร ต้องรอประมาณ 1-3 วัน เพราะต้องมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบวิดีโอและ AdSense ของเราเสียก่อน
  • เมื่อ Account ของเราพร้อม ก็จะมีอีเมล์ส่งมาแจ้ง
  • สำหรับการดูสถิติรายได้ต่างๆ ไปที่ Dashboard -> Analytics -> Ad Performance
  • ถ้า Account เราได้รับรองจากกูเกิลแล้ว และเริ่มมีคนมาดูโฆษณาแล้ว ก็จะมีแสดงรายได้ขึ้นมาให้เห็นเองจ้า
  • เงินจะส่งมาเป็นเช็ค ส่งมาเมื่อไหร่ เราสามารถไปตั้งค่าได้ใน AdSense ครับ เช่น เกิน 3,000 บาทให้ส่งมาเลย หรือรอให้ถึงล้านบาทค่อยรับก็ได้ ชิวๆ ~*

ผมลองทดสอบกับคลิปใน Channel ที่มีคนดูมากที่สุดอย่างคลิปที่คุณพ่อผมพูดในงานแต่งงาน ซึ่งมีคนดูเกือบ 2 ล้าน สถิติใน 1 วันมีคนดู 3,500+ คน ได้ตังค์กลับมาประมาณ $2 แต่อันนี้ต้องรอดูยาวๆ เพราะระบบโฆษณาเป็นการประมูล ถ้าไม่มีใครอยากลงโฆษณาในคลิปเราก็ไม่ได้ตังค์



ลองคำนวณดูแล้ว ถ้าคลิปของผมที่มียอดคนดูเกือบ 2 ล้าน ถ้ามี YouTube Monetize ตั้งแต่แรกจะได้ตังค์กลับมาประมาณ $1,000+ หรือ 30,000 บาท เออก็เยอะอยู่นะ


เรื่องควรหลีกเลี่ยง สำหรับ นักปั่นจักรยานมือใหม่

1. แค่เริ่มออกตัว ก็ปั่นเร็วเกินไปเสียแล้ว
อาจจะเป็นดาราหน้ากล้องที่ดีด้วยการนำอยู่หน้ากลุ่ม แต่ถ้าคิดจะถึงจุดหมายปลายทางพร้อม ๆ กันคนอื่น คิดใหม่ได้ครับ หัวใจที่เต้นเร็วเกิน ไปขณะเริ่มปั่นออกตัวใหม่ ๆ หรืออย่างน้อยใน 30 นาทีแรก ส่งผลให้ร่างกายปรับตัวเข้าเผาผลาญน้ำตาลสำรองให้หมดลงเร็วเกินควร ที่จริงแล้วต้องฝึกฝนให้ร่างกายคุ้นเคยกับการเผาผลาญไขมันสำรองก่อน ซึ่งจะใช้ได้นานกว่า โดยควรปั่นในความเร็วที่ยังคุยไปปั่นไปได้ก่อน หรือถ้าจะเล่นกันแรง ก็ขอให้ผ่านช่วง 20-30 นาทีแรกก่อนครับ หลังจากผ่านระยะนี้แล้ว ตัวใครตัวมันเลยครับ อย่าไปเลียนแบบนักแข่งที่ออกตัวกันแรง ๆ ครับ ซึ่งส่วนใหญ่ก็วอร์มอัพเสียจนเครื่องร้อนฉ่า พร้อมเร่งสุดชิวิตแล้ว
2. ใช้เกียร์ผิดปั่นขึ้นเนิน
ไม่ว่าเนินนั้นจะชันเท่าไร ว่ากันว่ารอบขาที่เหมาะสมควรจะอยู่ประมาณ 90-100 เสมอ (ยกเว้นที่มันชันสุด ๆ จริง ๆ อย่าง ชัน 14-18%) อาจจะต้องฝึกกันเยอะหน่อย แต่รอบขาที่ต่ำไป เราจะปั่นจนขายุ่ง วุ่นวาย เป็นพัลวัล สร้างความเครียดให้กับข้อต่อโดยไม่จำเป็น และหมดแรงโดยไร้ประโยชน์ หรือรอบขาที่สูงเกินไป ก็จะทำให้สูญเสียแรง เข่าทำงานหนัก อ่อนล้าได้ง่าย ๆ ถ้ามีเครื่องวัดรอบขา (cadence) ได้ก็จะเป็นประโยชน์ครับ แต่ถ้าไม่มีก็อาศัยประสบการณ์หน่อย หารอบขาโดย หรือจับเวลา 15 หรือ 30 วินาที แล้วนับรอบขาเอา ใช้ความรู้สึกหารอบขาให้เหมาะสมกับตัวเอง
3. เป็นหัวลากหรือปั่นตามกลุ่ม อย่างใดอย่างหนึ่งมากไป
เรียนรู้การประหยัดแรงบ้างด้วยการปั่นตามกลุ่ม แต่อย่าลืมขึ้นเป็นหัวลากคนอื่นบ้าง การปั่นตามหลังนักปั่นอื่น ๆ ซัก 8 คน สามารถประหยัดการเผาผลาญอ๊อกซิเจน ได้ถึง 30-40% แต่การปั่นตามหลังกลุ่มตลอดเสมอ อาจได้รับฉายา ไอ้ตัวดูด หรือห่อหมก (wheel sucker) ได้ แต่การใช้เวลาเป็นหัวลากมากไป แม้ว่าเพื่อนฝูงจะรักใคร่ได้รับฉายา ลากยาว หัวลากประจำก๊วน ถ้าไม่แกร่งพอ ก็อาจเจอกับอาการแผ่วเอาง่าย ๆ เรื่องสำคัญคือในกลุ่มต้องตกลงกันว่าใครจะขึ้นหัวลาก นานเท่าไร สลับกันยังไง ถ้าเป็นหัวลากอยู่ การให้ สัญญาณให้คนอื่นแซง อย่างเช่นขยับศอก โบกฝ่ามือ การหลบออกซ้ายลดความเร็วช้า ๆ ระวังคนข้างหลังมาเสยเอา ทำเขาล้มได้
พยายามอย่าเบรค ให้แรงต้านลมลดความเร็วลงช้า ๆ ถ้าปั่นตาม เพื่อประหยัดแรง ก็ต้องให้ชิดคันข้างหน้า ห่างกันระยะซักล้อหรือมากกว่า
แน่นอนยิ่งชิดก็ยิ่งประหยัดแรง แต่ก็ยิ่งเสี่ยง มองไกล สลับใกล้ อย่าก้มหน้าก้มตามองแต่ล้อหลังคันข้างหน้า
ให้ขี่ประจำตำแหน่ง อย่ามุดหรือกระแซะคันข้างหน้าเพื่อแซง ถ้าคิดจะแซงขอทางออกด้านขวา อยู่นอกกลุ่มแล้วจะไปไหนก็ไป หรือถ้าคิดจะย้ายตำแหน่งไปข้างหลัง ให้ขอทางออกทางซ้าย การเปลี่ยนจังหวะกะทันหัน เช่น จากนั่งเป็นยืนโยก จังหวะที่ลุกขึ้นยืนโยก ระวังอย่าให้จักรยานชะงัก การปั่นช้าลง เบรค หรือเปลี่ยนทิศทางโดยไม่ให้สัญญาณ อุบัติเหตุเกิดได้บ่อย ๆ เจ็บตัวเจ็บใจ เสียรถ เสียความรู้สึก มามากต่อมาก ถอดใจเลิกปั่นไปก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะถนนบ้านเรา ไหนต้องระวังมอไซต์สวน หรือรถจอดไหล่ทาง หรือแม้กระทั่ง หมาไล่ เรื่องนี้ว่ากันยาว
4. พักผ่อนน้อย
โอเวอร์เทรน หรือซ้อมมากไปเป็นอาการนักปั่นรู้สึกกันบ่อย เช่นเมื่อยล้า อ่อนแรง ขาดแรงจูงใจ อารมฌ์บ่จอย พาลขี้เกียจซ้อม ให้คิดว่าการพักผ่อนไม่ใช่การขาดซ้อม แต่เป็นส่วนหนึ่งของการซ้อมด้วยนะครับ ร่างกายเราใช้ช่วงพักผ่อนนี่แหละเสริมสร้าง ปรับปรุงระบบทั้งหัวใจและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ยกระดับประสิทธิภาพสูงขึ้น โปรแกรมการฝึกซ้อมดี ๆ ส่วนใหญ่ให้มีวันพักผ่อนเต็ม ๆ หลังวันซ้อมเบา
อาทิตย์ละครั้ง หรือถ้าโปรแกรมซ้อมไม่โหดมากนัก ก็อาจใช้วันนี้ไป ครอสเทรนนิ่งบ้าง อย่าง ว่ายน้ำ โยคะ เดินเล่น แต่ถ้าซ้อมกันหนัก ๆ โหด ๆ มา ให้พักผ่อนให้เต็มที่ หรืออาจะไปนวดตัว นวดกล้ามเนื้อ ก็ดีครับ
5 ปั่น ปั่น และปั่น พวกบ้าปั่น
พวกนี้ไม่ทำอะไรเลยนอกจาก ปั่น ปั่น และปั่นทั้งอาทิตย์ เอาชั่วโมงปั่นอย่างเดียว เรื่องของเรื่องก็คือว่า การปั่นไม่ใช่การออกกำลังที่มีการใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย แต่ใช้เฉพาะส่วนล่างในการเคลื่อนไหว ในขนาดและทิศทางที่ชัดเจนและจำกัดมาก ผลที่ได้ก็คือกล้ามเนื้อส่วนนี้จะแข็งแรงมาก แต่กล้ามเนื้อส่วนอื่นที่ไม่ใช้ก็จะอ่อนแอลง ก่อให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อไม่สมดุลย์ ได้ ยิ่งไปกว่านั้น มีรายงานวิจัยยังพบอาการกล้ามเนื้ออักเสบจากการใช้งานซ้ำซาก และมากเกินไปในนักปั่นกลุ่มนี้ถึง 85% ให้ชดเชยด้วยการฝึกใช้งานกล้ามเนื้ออื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโยคะ หรือ ยกน้ำหนัก ซิท อัพ เป็นต้น
6. ชอบปรับแต่งองค์ทรงเครื่องจักรยานก่อนปั่น
ทุก ๆ ครั้งก่อนล้อจะหมุน ดูเหมือนว่ารถเราหรือใครซักคนจะมีอะไรติดขัดทุกที ไม่ว่าจะเป็นปรับเบาะ ปรับเบรค ตัวจับแม่เหล็ก หรือแม้กระทั่งปรับสายเบรค สายเกียร์ทั้งหลาย ว่ากันว่าเวลาที่ดีที่สุดในการปรับแต่งรถก็คือทันทีที่ขี่เสร็จครับ เพราะอาการรวน หรือเสียงรบกวนทั้งหลายแหล่นั้นนั้นยังแจ่มชัดอยู่ในความรู้สึก รวมถึง การล้างทำ ความสะอาด เช็ดถู หล่อลื่นต่าง ๆ หรือซ่อมแซมยางอะไหล่ก็เหมาะครับ สำหรับบางคนที่ชอบปรับแต่งเป็นอาจิณ ประเภทย้ำคิดย้ำทำนั้น แนะนำว่า ให้ทำเป็นเช็คลิสต์เลยครับ เก็บไว้รวมกับพวกยางอะใหล่ สูบ โดยให้รวมถึง พวกน้ำดื่มเกลือแร่ แม้กระทั่ง มือถือหรือไอพอด ไปด้วยเลย แต่ถ้าเจตนาจะปรับแต่งรถจริง ๆ ปั่นคนเดียวครับ พกเครื่องมือไปด้วย ปั่นไปเจออะไรไม่เข้าที่เข้าทางก็ปรับเลยครับ ดีที่สุด…
7. เห็นเนินเป็นลม เห็นนมสู้ตาย
นักปั่นที่ปั่นแต่ทางเรียบล้วน ๆ ไม่มีเนินให้ลองเล่น อย่างแถวกรุงเทพเนี่ย มักกลัวเนินครับ พยายามเลี่ยง ประเภทเห็นเนินเป็นลม เห็นนมแล้วซิ่ง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ถ้าอยากปั่นให้ดีขึ้น ต้องซ้อมขึ้นเนินบ่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะอ้างว่าขี่ขึ้นเนินไม่ดีเลยพาลหนีไปเลย ความจริงก็คือ ไม่มีใครขึ้นเนินไม่ได้หรอกครับ ของมันฝึกฝนกันได้ ลองเลือกหาเนินสั้น ๆ ชันซ้ก 4% ถึง 8% ใช้เวลาปั่นซัก หนึ่ง ถึง สองนาที
พยายามใช้แรงให้สม่ำเสมอตลอดทั้งเนิน เสร็จแล้วให้ฝึกบ่อย ๆ สองถึงสามเนิน ขนาดซักสามสิบนาทีต่ออาทิตย์ แล้วจะพบว่าตัวเองชักจะติดใจเนินละ แทนที่จะวิ่งหนีกลับวิ่งเข้าหาแล้วล่ะครับ ให้ฝึกการใช้รอบขา การใช้แรง การหายใจให้สม่ำเสมอ อย่าเพิ่งสนใจความเร็วมากนัก เนินมักเป็นที่ที่แยกหมู่จากจ่า แยกขาแรงกับขาใหม่อย่างแท้จริง ขณะที่ปั่นทางราบใคร ๆ ก็พอจะเกาะกลุ่มไปได้ บนเนิน นักปั่นที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มมักจะถูกสลัดทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใย เสียแทบจะทุก ๆ ครั้ง หรือถ้าผ่านพ้นจุดนี้ไปได้ กำลังจะผ่านยอดเนิน อย่าเพิ่งเบาเครื่องนะครับ ถ้าเป็นการแข่งขันหรือทริปที่ปั่นเหมือนกะแข่ง เคล็ดลับก็คือปั่นตามกลุ่มขึ้นเนินให้ได้ แล้วเก็บแรงไว้ใช้บนยอดเนิน ที่นี่แหละเร่งรอบขาหนีหายไปเลย นักปั่นที่มัวแต่พักรอบขาตอนนี้ จะถูกทิ้งอีกครั้ง ใช้ขาลงเนินนั่นแหละพักรอบขาเอา เรื่องนี้ต้องฝึกบ่อย ๆ ครับแล้วจะชิน ฮึ่ม แล้วมันก็จะเป็นทีข้ามั่งละว๊อย…
8. ทำตัวเป็นหมอกลางบ้าน
ปั่นจักรยานก็อาจเหมือนกีฬาแข่งขันอื่น ๆ ที่มักมีการเจ็บเนื้อปวดเมื่อยตัว หมูแผ่น กันอยู่เสมอ และพวกเราก็มักจะดูแลรักษาตัวเองเสียด้วย อาจคิดแค่ว่าเอาน้ำแข็งประคบเสียหน่อย หรือไปนวดเสียหน่อย หรือ ทาโน่นทานี่หน่อยก็โอเคแล้ว เรื่องของเรื่อง อาการเล็ก ๆ น้อย เหล่านั้นอาจกลับกลายเป็นอาการเรื้อรังประเภทกล้ามเนื้อ ฉีกขาดหรือปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ ถาวรได้ ถ้าได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นอาการปวดเมื่อยแปลก ๆ ก็รีบไปหาหมอโดยเร็วเลยครับ ถ้าเป็นหมอเฉพาะ ทางกายภาพกีฬาด้วยยิ่งดี (ไม่รู้ว่าบ้านเรามีมั่งหรือเปล่านี่) อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันสูงหรือต่ำผิดปกติ หรือเหนื่อย อ่อนเพลียผิดปกติ หรือบางคนอาจเคยมีอาการหัวใจผิดปกติมาก่อน อาจขอหมอตรวจเลือดให้ละเอียดหน่อย เช่นหาปริมาณธาตุเหล็กในเลือด อาการเส้นเลือดอุดตัน อาการพวกนี้อาจทำให้เราใช้แรงมากผิดปกติ ฟื้นตัวช้า สมรรถภาพหย่อนยาน หรืออาจถึงอัมพาต หรืออาจถึงตายได้ ก็มีให้เห็นกันครับ
9. กินผิดที่ผิดเวลา
บ่อยครั้งที่ในวันแข่ง หรือวันออกทริป เรามักทำตัวผิดจากวันธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นเวลานอน เวลาตื่น หรือกินอาหารผิดไปจากที่เคยกิน หรือ ผิดเวลาจากที่เคยทำเป็นประจำ หรือแม้กระทั่งถ่ายผิดที่ผิดเวลา อย่างเช่น มากินน้ำเต้าหู้ หรือปาท่องโก๋ตอนเช้า วันออกทริปหรือแข่ง เพราะว่ามันฟรี ทั้ง ๆ ที่ปกติไม่เคยแตะต้อง อย่างนี้ต้องระวังให้มากครับ ท้องไส้บางคนไม่คุ้นเคย ไม่ได้ถูกฝึก อาจเกินอาการปั่นป่วน ไม่อยู่กับร่องกับรอย ส่งเสียงรบกวนเอาง่าย ๆ ส่วนหลังปั่น ถ้าเป็นการปั่นทางไกลจริง ๆ ควรต้องเติมเต็มกระเพาะอาหาร ภายใน 45 นาทีหลังปั่นเสร็จ เพื่อให้ร่างกายสะสมพลังงานไว้ใช้เพื่อฟื้นสภาพต่อไป
10. นอนไม่พอ
ข้อนี้คงไม่ต้องว่ากันมากนัก ใครนอนไม่พอแล้วมาปั่นกันหนัก ๆ จะออกอาการเปลี้ยเห็นได้ชัด ๆ ส่วนใหญ่จะยอมสารภาพบาปกันทั้งนั้น
ร่างกายใช้เวลาระหว่างการนอนหลับ ทำการซ่อมแซมและพักฟื้นเซลล์กล้ามเนื้อ ที่สึกหรอจากการออกกำลังกาย การนอนน้อย ทำให้การะบวนการซ่อมแซมไม่ สามารถทำได้เต็มที่ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย ฟื้นตัวช้า ขาดภูมิต้านทาน บางคนมีอาการปวดหัวบ่อย ซื่งถ้าไม่ขาดน้ำ ก็อาจมีสาเหตุมาจากนอนน้อยก็ได้ ในวัยเด็ก การนอนหลับสนิทเป็นช่วงที่ร่างกายเร่งกระบวนการเติบโตและความสูง ในทางการแพทย์คนนอนน้อยมีภาวะเลือดลอย หรือมีความเข้มข้นของเม็ดเลือดน้อย ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ สำหรับนักกีฬา ความเข้มข้นของเลือดน้อยทำให้เม็ดเลือดแดงนำอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้น้อยลง ทำให้ไม่มีแรง เป็นตะคริวง่าย นอนเท่าไรจึงจะพอ ไม่มีกฏตายตัว บางคน 5 ชั่วโมงต่อคืนก็พอแล้ว สำหรับหลาย ๆ คน ต้อง 6 – 8 ชั่วโมงจึงจะพอ สิ่งสำคัญก็คือ ความสม่ำเสมอครับ เคยนอนเท่าไรแล้วรู้สึกปกติ สบาย ๆ ก็อันนั้นแหละครับ
credit : Ridedtc

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เคล็ดลับน่ารู้ วิธีแก้อาการไอและเจ็บคออย่างเห็นผลด้วยวิธีธรรมชาติ

เคล็ดลับน่ารู้ วิธีแก้อาการไอและเจ็บคออย่างเห็นผลด้วยวิธีธรรมชาติ




อาการเจ็บป่วยที่คนเรามักจะเป็นกันบ่อย เห็นจะไม่พ้น หวัด อาการไอ พร้อมกับอาการเจ็บคอ ที่มักมาคู่กัน โดยเฉพาะอาการเจ็บคอ ถือได้ว่าเป็นอะไรที่ทรมาณมากเลยทีเดียว หลายคนใช้วิธีกินยาอมแก้เจ็บคอ ซึ่งไม่ใช่วิธีการที่ควรทำนัก เพราะมีผลข้างเคียงสูง วันนี้รายการเคล็ดลับน่ารู้โลกหุ่นจะมาแนะนำวิธีแก้ไอ และรักษาอาการเจ็บคอแบบวิถีธรรมชาติอย่างง่ายๆ และได้ผล
รู้หรือไม่ว่า นักวิชาการด้านเภสัชศาสตร์ กำลังเรียกร้องให้ อย. เพิกถอนตำรับยาอมบรรเทาอาการเจ็บคอ ที่มีส่วนผสมของยานีโอมัยซิน และ เบซิทราซิน เพราะเป็นยาปฏิชีวนะ ซึ่งแม้จะมีผสมอยู่ในปริมาณน้อย แต่กลับส่งผลให้เกิดอาการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียมากกว่าจะช่วยฆ่าเชื้อโรคให้หมดไป ดังนั้นเราหันมาใช้วิธีการธรรมชาติในการแก้อาการเจ็บคอกันดีกว่า

กลั้วคอ
ทำน้ำสำหรับกลั้วคอด้วยสูตรใดสูตรหนึ่งต่อไปนี้ โดยผสมด้วยน้ำร้อน แล้วทิ้งไว้จนอุ่น ให้อุ่น แต่ร้อนที่สุดเท่าที่เราจะกลั้วคอไหว ส่วนวิธีการกลั้วคอคือ ให้อมน้ำกลั้วคอ แหงนหงายศรีษะไปข้างหลัง เพื่อให้น้ำกลั้วคออาบเนื้อเยื่อในคอมากที่สุด อาการเจ็บคอ จะบรรเทาไปชั่วคราว ทำซ้ำวันละ 4 ครั้ง

1. น้ำ+เกลือ
ผสมน้ำร้อน ประมาณ 1 ถ้วย กับเกลือป่น 1 ช้อนชา แต่หากมีน้ำยาบ้วนปากสูตรกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ก็อาจจะผสมลงไปด้วยนิดหน่อยก็จะได้ผลดียิ่งขึ้น

2. ขิง+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว
น้ำขิง 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำร้อน ½ ถ้วย บีบมะนาวลงไปผสมอีกสักครึ่งซีก น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะ จะช่วยกำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่ก่อความ
ระคายเคืองในคอได้ ส่วนกรดวิตามินซีในน้ำมะนาวก็จะช่วยเคลียร์ช่องคอให้โล่งขึ้น

3. พริกป่น+น้ำ
พริกป่นประมาณ 2-3 ช้อนชา ผสมน้ำร้อน 1 ถ้วย




4. ผงขมิ้นชัน+เกลือป่น+น้ำ
ผสมผงขมิ้นชันและเกลือป่นอย่างละ 1 ช้อนชา กับน้ำร้อน 1 ถ้วย

5. กานพลูอบแห้ง+น้ำ
กานพลูอบแห้ง นำมาบดละเอียด แล้วตักประมาณ 1-3 ช้อนชา ไปผสมกับน้ำร้อน กานพลูมีทั้งสารต้านเชื้อแบคทีเรีย และสารต้านอาการอักเสบ

6. น้ำมะเขือเทศ+น้ำ+น้ำพริกดอง
ผสมน้ำมะเขือเทศ ½ ถ้วย น้ำร้อน ½ ถ้วย และพริกดอง 10 หยด ทั้งมะเขือเทศ และพริกต่างก็มีไลโคปีน และสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้

จิบ
การจิบน้ำอุ่นจัด จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้เป็นอย่างดี ลองสูตรเครื่องดื่มต่อไปนี้ จิบเป็นพักๆตลอดวัน
1. ชาเขียวร้อน
ชาเขียวชงเข้มๆ ชาเขียวมีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ แถมยังมีสรรพคุณในด้านต้านการติดเชื้ออีกด้วย




2. มะนาว+น้ำอุ่น 
ผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนชากับน้ำอุ่น 1 ถ้วย วิตามินซีในน้ำมะนาวจะช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส ตัวการทำให้เราระคายเคืองคอ

3. ชาราสป์เบอร์รี่ 
ใช้ใบชาราสป์เบอร์รี 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำร้อนจัด 1 ถ้วย ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ให้ชาละลาย จากนั้นก็กรอง แล้วนำมาจิบ หรือจะกลั้วคอก็ได้เช่นกัน

การจิบน้ำอุ่นเกือบร้อนตลอดทั้งวัน จะช่วยทำให้ทางเดินหายใจส่วนบน (จมูกและคอ) และเยื่อบุจมูกได้รับความอบอุ่นไปด้วยในตัว จึงช่วยยับยั้งเชื้อหวัดได้อีกทางหนึ่ง

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วันสุดท้ายของเอวานส์

วันสุดท้ายของเอวานส์



คุณเคยถามตัวเองไหมครับว่าคุณจะทำอะไรในวันสุดท้ายของการทำงาน? 

ยนส์ โว้กอำลาวงการด้วยการทำลายสถิติโลก Hour Record แต่ไม่ใช่สำหรับคาเดล เอวานส์ เขาก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่ไม่จำเป็นต้องขวนขวายอะไรอีกต่อไปแล้วในฐานะนักปั่น (การที่เขามีสนามแข่งตั้งตามชื่อเขาก็คงจะพอบอกถึงความสำเร็จได้ไม่น้อย — งานแข่ง Cadel Evan’s Great Ocean Road Race เริ่มพรุ่งนี้ครับ) เราอาจจะพูดได้เต็มปากว่า เอวานส์คือนักปั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ออสเตรเลียเคยสร้างมา

ไม่สำเร็จ: แจ๊ค บ๊อบบริดจ์โค่นสถิติ Hour Record ไม่ได้

ไม่สำเร็จ: แจ๊ค บ๊อบบริดจ์โค่นสถิติ Hour Record ไม่ได้



บ็อบบริดจ์ทำระยะทางได้ทั้งหมด 51.300 กิโลเมตร เทียบกับ 51.852 กิโลเมตรของแบรนเดิลที่ตั้งไว้เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมปีที่ผ่านมานี้
ตามกำหนดการแล้ว บ็อบบริดจ์ต้องปั่นให้ได้อย่างน้อย 207.5 รอบ เพื่อที่จะทำระยะทางให้เกินสถิติของแบรนเดิลที่ 51.852 กิโลเมตร ที่สามสิบนาทีแรก บ็อบบริดจ์ทำความเร็วเฉลี่ยได้ราว 52 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและปั่นได้ 36 รอบในสิบนาทีแรกซึ่งถ้ารักษาความเร็วขนาดนี้ได้ตลอด เขาจะทำระยะทางได้ทั้งหมด 52.25 กิโลเมตร