วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ลดความอ้วนง่ายๆ ด้วยการเดิน
ลดความอ้วนง่ายๆ ด้วยการเดิน ทำได้จริงเหรอ?
ผมเชื่อว่าทุกคนที่ออกจากบ้าน คุณต้องมีโอกาสที่จะต้องเดินในแต่ละวันแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเดินออกไปขึ้นรถประจำทาง, เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า, เดินจากที่จอดรถเข้าที่ทำงาน ฯลฯ
คุณรู้หรือไม่ว่า การเดินในสภาวะปกติเพียงแค่ 20 นาทีต่อวัน ก็สามารถเผาผลาญพลังงานประมาณ 50 – 100 กิโลแคลอรี่แล้วครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของเรา รวมถึงสภาพร่างกายของแต่ละคน เพศ และอายุด้วย ซึ่งมีผลต่อการเผาผลาญพลังงานไม่เท่ากัน ผลลัพท์ที่ได้ก็อาจจะคลาดเคลื่อนกันได้เช่นกัน และยังรวมถึงความเร็วในการเดินด้วย ยิ่งเดินเร็วยิ่งเผาผลาญมาก ถ้าเดินช้าๆ เดินแบบทอดน่องเดินเรื่อยเปื่อย ก็ใช้พลังงานน้อยหน่อย เป็นต้น
ทำไมแค่การเดินถึงลดน้ำหนักได้?
การเดิน การเคลื่อนไหว ในแต่ละครั้งในแต่ละวัน ร่างกายต้องใช้พลังงานเสมอ หากเราไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือไม่ได้ออกกำลังกายมานาน หากคุณลองเดินยาวๆ นานๆ สัก 10 – 20 นาที ในช่วงแรกๆ คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองเช่น
- เหงื่อออกมาก
- อาจมีอาการหอบ หรือหายใจทางปาก
- เมื่อยขา
- หิวน้ำ
- ปากแห้ง
- ฯลฯ
อาการเหล่านี้คือผลลัพท์ของการออกกำลังกาย โดยร่างกายแสดงออกมาหลังจากที่เราเริ่มเดินต่อเนื่องตั้งแต่ 10 นาทีเป็นต้นไป
โดยกระบวนการเดินของร่างกายนั้น หากเราเดินไปเรื่อยๆ ในช่วง 5 นาทีแรก ตัวเราจะยังเหงื่อไม่ออก (ยกเว้นเดินตากแดด) แต่จะแค่อุ่นขึ้น แต่เมื่อผ่านไป 10 นาที ร่างกายของคุณจะเริ่มรู้สึกว่าร้อน เหงื่อจะเริ่มออก ยิ่งถ้าเป็นวันที่อากาศร้อนๆ ด้วย เหงื่อจะไหลออกมามากขึ้น จากเดิมที่แค่ร่างกายอุ่น แต่หลังจาก 5 นาทีเป็นต้นไป ร่างกายจะเริ่มขับเหงื่อออกมา
หากเราสามารถเดินต่อเนื่องไปจนถึง 20 นาที ร่างกายจะเผาผลาญไขมันที่สะสมออกมา ทำให้คนที่เดินจนถึงช่วง 15 – 20 นาที จะเริ่มรู้สึกว่า เดินได้สบายขึ้นแม้จะมีเหงื่อออกแต่ก็ยังเดินได้ดีนั้นเป็นเพราะว่ากระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกายเริ่มทำงานได้ดีขึ้น
ต้องเดินไกลแค่ไหนถึงจะลดน้ำหนักได้?
โดยปกติอัตราการเดินพื้นฐานการเดิน 20 นาที ระยะทางที่คุณเดินได้น่าจะประมาณ 1 กิโลเมตร หรือประมาณ 2-3 ป้ายรถเมล์ ขึ้นอยู่กับนิสัยการเดิน ความเร็วในการเดินของแต่ละคนด้วย แต่สำหรับคนที่มีน้ำหนักตัวมากๆ การเดินในชีวิตประจำวันอาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะจะทำให้เจ็บหัวเข่าได้ ดังนั้นแนะนำว่าให้เปลี่ยนเป็นการเดินในน้ำแทน ซึ่งถ้าเป็นการเดินในน้ำ นอกจากจะช่วยเผาผลาญไขมันแล้ว หัวเข่าของคุณก็ไม่เสียอีกด้วย เพราะน้ำจะช่วยพยุงตัวของคุณตลอดการเดิน ลองแบ่งเวลามาเดินในสระว่ายน้ำของคอนโด หรือหมู่บ้านของตัวเอง แค่เดินไปเดินมาสัก 20 นาทีต่อวันก่อน จากนั้นเมื่อร่างกายเริ่มแข็งแรงพอ ก็เพิ่มระยะเวลาในการเดินในน้ำก็จะยิ่งเห็นผลมากขึ้น
หากไม่มีสระว่ายน้ำ คุณอาจจะแบ่งการเดินเป็น 2 ช่วง คือเช้า 10 นาที และเย็น (หลังเลิกงาน) 10 นาทีก็ได้ครับ เดินแค่ 1 ป้ายรถเมล์ต่อรอบ ทำเช้าเย็น แค่นี้ก็ได้ผลเช่นกัน แต่หากทำไหว ก็ซัดไปเลยยาวๆ เช้า 20 นาที เย็น 20 นาที ก็จะได้ผลเร็วยิ่งขึ้น หรือถ้าไม่สะดวกเดินตามท้องถนน หากมีเครื่องออกกำลังกาย (ลู่วิ่ง) ที่บ้านก็เดินไปเรื่อยๆ ก็ได้ครับ
แล้วต้องเดินกี่วันถึงจะลดน้ำหนักได้?
โดยปกติเท่าที่ผมเคยทดลองกับตัวเองมา หากคุณไม่ได้มีปัญหาสุขภาพด้านอื่นๆ มีการเดินเฉลี่ยอย่างน้อยวันละ 20 นาทีต่อวันเป็นอย่างน้อย (เท่ากับระยะทางการเดินเฉลี่ยวันละ 1-2 กิโลเมตร) แต่เนื่องจากผมเดินทั้งเช้าและเย็น รวมแล้วน่าจะประมาณ 3 – 4 กิโลเมตรต่อวันรวมกับการควบคุมอาหารไม่ให้เกิน 1,500 กิโลแคลอรี่ ผมสามารถลดน้ำหนักเฉลี่ย 3 – 3.5 กิโลกรัมต่อเดือน แต่ทั้งนี้ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะได้มากกว่าหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน
นอกจากนั้นหากเราเดินทุกๆ วัน นอกจากจะผอมแล้ว ร่างกายของเราจะกระชับไปในตัว เพราะการเดินเป็นการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อเกือบจะทั้งตัว ดังนั้นคนที่เดินเป็นประจำจะแทบไม่เจอปัญหาสัดส่วนเกิน หรืออ้วนเฉพาะจุด
มีเคล็ดลับอะไรที่เดินแล้วลดน้ำหนักเร็วๆ ไหม?
เคล็ดลับการเดินเพื่อให้ลดน้ำหนักได้ไวๆ คือ ให้เราหายใจให้ลึกๆ ก้าวเท้าให้ยาวแบบสม่ำเสมอ และหารองเท้าที่เหมาะสมสำหรับการเดินมาใช้
การเดินในแต่ละก้าว หากเราก้าวให้ยาวพอ ร่างกายจะเคลื่อนไหวต่อเนื่อง มีการหดเกร็งกล้ามเนื้อทั้งช่องท้อง ต้นขา สะโพก พร้อมๆ กันอย่างน่าทึ่ง ยิ่งเราหายใจช้าๆ ลึกๆ แต่ก้าวขายาวๆ ร่างกายจะได้รับออกซิเจนมากกว่าการหายใจสั้นๆ แน่นอนว่าการเดินในช่วงแรกๆ เราจะหอบและเหนื่อย ทำให้ต้องหายใจสั้นๆ แต่เมื่อร่างกายเริ่มแข็งแรงและชินกับการเดิน เราจะสามารถหายใจยาวขึ้น และก้าวเดินได้อย่างสบายๆ โดยกว่าจะเริ่มเหนื่อยก็เป็นช่วงเวลา 15 นาทีเป็นต้นไป
การหารองเท้าที่เหมาะกับการเดิน รองเท้ากีฬาที่ออกแบบมาสำหรับการเดินหรือวิ่งจะช่วยรองรับน้ำหนักในการเดินได้ดี ทำให้คุณไม่เจอปัญหาปวดเข่า หรือเมื่อยขา ซึ่งหลายคนไม่ยอมลงทุนกับรองเท้าดีๆ สักคู่ ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บและเลิกล้มการลดน้ำหนัก ทำให้กลับไปอ้วนเหมือนเดิม
หากคุณเลือกที่จะเดินในน้ำ ขอแนะนำให้วอร์มร่างกายก่อนลงสระ อาจจะเริ่มจากการเดินรอบสระสัก 2-3 รอบก่อน ค่อยๆ เอาขาหย่อนลงไปเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว แล้วค่อยลงสระทั้งตัว เวลาเดินในสระ ก็เดินไปเกาะขอบสระว่ายน้ำไปด้วยเพื่อป้องกันการลื่น
หลังจากเดินไปสักระยะ (เดินต่อเนื่องสัก 7 – 10 วัน) คุณจะเริ่มเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดดังนี้
- คุณจะเดินได้ไวขึ้น (ระยะทางเท่าเดิม แต่ใช้เวลาสั้นลง)
- คุณจะเหนื่อยน้อยลง
- หากควบคุมอาหารในแต่ละมื้อด้วย น้ำหนักของคุณควรจะลดลงเฉลี่ย 1-1.5 กิโลกรัมต่อ 10 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนด้วยนะครับ การจะกำหนดเป็นตัวเลขตายตัวนั้นค่อนข้างยาก เพราะร่างกายของแต่ละคนนั้น มีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ดังนั้นผมจะบอกเป็นตัวเลขคร่าวๆ ก่อน
หากคุณทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ด้วยการบังคับตัวเองให้เดินอย่างน้อย 20 นาทีต่อวันแทรกซึมเข้าไปในกิจวัตรประจำวัน เชื่อว่าใน 1 เดือน น้ำหนักตัวของคุณต้องลดลงอย่างน้อย 2-3 กิโลกรัมแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่ว่าคุณจะสามารถควบคุมอาหารได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือ การเดินจะทำให้ร่างกายของคุณกระชับขึ้น หน้าท้องและพุงที่เคยยื่นจะเริ่มกระชับขึ้น
อ่านเสร็จแล้วอย่าเพิ่งคิดเอาเองว่า มันจะได้ผลจริงหรือเปล่า??? ออกไปลองทำดูครับ ไม่เสียหาย ไม่เสียเงินใดๆ หากน้ำหนักตัวไม่ลดลงภายใน 1 เดือน แต่ผลลัพท์อื่นๆ ต้องเกิดขึ้นแน่นอน!
วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558
วิธีใช้ เกียร์จักรยาน
วิธีใช้ เกียร์จักรยาน


เจาะลึกวิธีใช้ เกียร์จักรยาน !!
ปัญหานี้คงเป็นปัญหายอดฮิตสำหรับมือ ใหม่ทุกๆคนเนื่องมาจากระบบเกียร์ที่ค่อนข้างจะซับซ้อนสำหรับคนที่ยังไม่คุ้น เคย และจำนวนเกียร์ที่มีมากมายจนน่าปวดหัว [ ระบบเกียร์เป็นคำกล่าวรวมเกี่ยวกับระบบขับเคลื่อน(drive train)ทั้งระบบ ซึ่งประกอบด้วยชุดจานหน้า(chain ring) สับจานหน้า(front derailleur)ชุดเฟืองหลัง(cog) ตีนผี(rear derailleur) โซ่(chain)และยังรวมไปถึงชุดเปลี่ยนเกียร์(shifter)
เกียร์ จักรยานนั้นถูกออกแบบมาด้วยเหตุผลคล้ายกับเกียร์รถยนต์ คือเพื่อให้ผู้ถีบสามารถใช้รอบขาและแรงถีบได้อย่างเหมาะสมกับสภาพเส้นทาง ความเร็ว และสภาพของตัวผู้ถีบเอง โดยจะเลือกอัตราทดจากการเปลี่ยนตำแหน่งโซ่ในชุดจานหน้าซึ่งจะมีตั้งแต่ 2 - 3 จาน ร่วมกับการเปลี่ยนตำแหน่งโซ่ในชุดเฟืองหลังซึ่งมีตั้งแต่ 7 - 9 เฟือง ( CampagnoloและRitchey ได้ทำชุดเฟืองหลัง10 เฟืองออกมาแล้ว แต่อาจจะยังไม่เป็นที่แพร่หลายเนื่องจากใช้เพื่อการแข่งขัน )
ใน ที่นี้ผมจะขอกล่าวเฉพาะชุดจานหน้า 3 จานและเฟืองหลัง 9 เฟืองของเสือภูเขาเท่านั้นทางShimanoได้ผลิตชุดขับเคลื่อนระบบนี้ตั้งแต่ชุด ระดับกลางๆคือ Deore จนถึงชุดระดับสูงอย่าง XTRโดยอาจจะเรียกให้เข้าใจกันง่ายๆว่า ชุดขับเคลื่อน 27 speeds ซึ่งความหมายมาจาก 3 x 9 = 27 นั่นเอง ซึ่งการเรียกตำแหน่งเกียร์นั้นจะเรียกเป็นตัวเลขคล้ายกับเกียร์รถยนต์โดยจาน หน้าใบเล็กสุด จะเรียกว่าจาน1จานกลางจะเรียกว่าจาน2 จานใหญ่สุดจะเรียกว่าจาน3 คล้ายๆกับเกียร์รถยนต์ ตัวเลขที่มากขึ้นก็จะหมายถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้นมา (และออกแรงเพิ่มขึ้น)ในขณะที่ชุดเฟืองหลังนั้นจะเรียกเฟืองใหญ่สุดว่าเฟือง1 แล้วเรียกไล่กันไปจนถึงเฟืองเล็กที่สุดว่าเฟือง9 หลายคนอาจจะเริ่มสับสน คือถ้าเฟืองหลังยิ่งเล็กลงความเร็วก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสลับกันกับชุดจานหน้า ตัวอย่างในการเรียกให้เข้าใจตรงกัน เช่น ตำแหน่งเกียร์ 3-7จะหมายถึงจานหน้าอยู่ในตำแหน่งจาน3 และเฟืองหลังอยู่ในตำแหน่งเฟือง7 (คือเฟืองตัวที่ 3 นับขึ้นมาจากเฟืองที่เล็กที่สุด)
ผมจะใช้ตัวอย่างจากชุดขับเคลื่อน ยอดฮิตที่มีชุดใบจานหน้า 44-32-22 ( ใบใหญ่44ฟันใบกลาง32ฟัน และใบเล็ก22ฟัน ) กับชุดเฟืองหลังมีจำนวนฟันเรียงกันดังนี้ 11-12-14-16-18-21-24-28-32 อัตราทดจะคำนวณโดยการนำจำนวนฟันของจานหน้าหารด้วยจำนวนฟันของเฟืองหลัง เช่น เกียร์ 3-9 จะมีอัตราทดเท่ากับ 44หารด้วย11 เท่ากับ 4.0 ซึ่งหมายถึงว่าถ้าเราปั่นบันไดครบ1รอบ ล้อหลังจะหมุนไปได้ 4 รอบ ดูตารางกันก็แล้วกันนะครับ
เฟือง 9 เฟือง 8 เฟือง 7 เฟือง 6 เฟือง 5 เฟือง 4 เฟือง 3 เฟือง 2 เฟือง 1
จาน 3 4.00 3.67 3.14 2.75 2.44 2.10 1.83 1.57 1.38
จาน 2 2.91 2.67 2.29 2.00 1.78 1.52 1.33 1.14 1.00
จาน 1 2.00 1.83 1.57 1.38 1.22 1.05 0.92 0.79 0.69
แล้วจะเลือกใช้เกียร์อย่างไรดีหละ
หลักการใช้เกียร์ที่เหมาะสมนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้ความหนักเบาให้พอดีกับ แรงและสุขภาพของคุณเอง การใช้เกียร์ที่หนักอัตราทดสูงๆ เช่น 3-9 อาจจะเหมาะสมสำหรับความเร็วสูงสุดช่วงสั้นๆในทางเรียบหรือความเร็วในการลง เขา แต่ไม่เหมาะสำหรับการเดินทางไกลๆเพราะจะหนักเกินไป และผลสุดท้ายจะลงเอยกับเข่าของคุณเอง สู้ใช้เกียร์ที่เบากว่าแต่ใช้รอบขาสูง กว่าไม่ได้ และเกียร์ที่เบาเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ต่อการออกกำลังกาย น้ำหนักเกียร์ที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่คุณจะต้องเลือกใช้ตามความจำเป็น เช่นเดียวกันกับรถยนต์ที่ไม่มีใครใส่เกียร์5 ขึ้นดอยอินทนนท์ ไม่ว่าเครื่องยนต์จะทรงพลังแค่ไหนก้อตาม และถึงแม้ว่าจะขึ้นได้ผลเสียก้อคงตกกับเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนเอง อันนี้จึงเป็นเรื่องของทางสายกลางที่คุณจะต้องหาเองเพราะว่าแต่ละบุคคลมี ความแตกต่างกันไป
แล้วจะเลือกใช้เกียร์ไหนดีเอ่ย มีตั้ง 27 เกียร์แหนะ เรามาลองย้อนขึ้นไปดูที่ตารางอัตราทดอีกทีนะครับ คุณจะพบว่ามันไม่ได้มีอัตราทดหลากหลายกันถึง 27 speedsอย่างที่คิด บางอัตราทดก็จะเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน รวมไปถึงข้อจำกัดในเรื่องของแนวโซ่ จนเราไม่อาจจะใช้มันจริงๆจังๆได้ครบทั้งหมด และจากการใช้งานจริงๆเราจะใช้มันอย่างมากก็เพียง 15-16 อัตราทดเท่านั้นพูดถึงแนวโซ่ อาจจะสับสนกับคำว่าchain lineได้
ผมคงต้องขออนุญาตปูพื้นคำว่าchain lineเสียก่อนนะครับ คำว่าchain lineนั้นหมายถึงระยะห่างระหว่างจุดกึ่งกลางท่ออาน(seat tube)กับยอดใบจานกลา โซ่เป็นจุดที่เปราะบางที่สุดของระบบเกียร์
โซ่เป็นตัวถ่ายทอดแรงจากบันไดไปยังล้อหลัง โดยรับจากจานหน้าส่งต่อไปยังเฟืองหลังจุดอ่อนของโซ่ก็คือ ข้อโซ่ ข้อโซ่อาจจะได้รับการออกแบบมาอย่างดีสำหรับการรับแรงกระทำในแนวยาวซึ่งจะมา ในรูปของการดึง แต่ไม่ได้ถูกออกแบบมาดีนักสำหรับการรับแรงบิด ทั้งการบิดเกลียวและการบิดด้านข้าง เมื่อโซ่ได้รับแรงบิด ข้อโซ่จะเป็นบริเวณที่ต้องเผชิญกับความเครียดและแรงเค้น เมื่อโลหะที่เป็นแผ่นประกับ(outer plate)ตรงบริเวณข้อโซ่ได้สะสมความเครียดและแรงเค้นจนถึงจุดที่เกิดอาการล้า ตัวแล้ว แกนข้อโซ่ก็จะถูกบิดให้หลุดออกมา ก็จะเกิดอาการที่เรียกว่า "โซ่ขาด"
การบิดของโซ่จะเกิดเกือบตลอดเวลาของการใช้งาน โดยการบิดตัวด้านข้างจะเกิดขึ้นในขณะที่ใช้อัตราทดที่มีแนวโซ่เบี่ยงเบน ยิ่งเบี่ยงเบนมากก็จะบิดตัวมาก (การบิดด้านข้างของโซ่จะทำให้มีแรงต่อฟันของจานหน้าและเฟืองหลังที่เกี่ยว ข้องด้วย) ส่วนการบิดเกลียวจะเกิดขึ้นในขณะที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งจานหน้า แรงบิดเกลียวที่กระทำต่อโซ่ในขณะเปลี่ยนตำแหน่งจานหน้านี้จะเพิ่มขึ้นตามแรงที่เรากดบันได
การใช้ตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสม
โดย พิจารณาจากแนวโซ่การเลือกใช้ตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสมโดยพิจารณาจากแนวโซ่ เป็นเหตุผลหลักนั้น จะช่วยยืดอายุการใช้งานในระยะยาวของระบบเกียร์ไม่ว่าจะเป็น โซ่ หรือชุดจานหน้าหรือเฟืองหลัง
ถ้าพิจารณาจากรูปจะเห็นได้ว่าที่ ตำแหน่งเกียร์ 1-3 , 2-5 และ 3-7 แนวโซ่แทบจะเป็นเส้นตรงเลยทีเดียวเมื่อเราใช้เกียร์ 2-7 ทำความเร็วได้พอสมควรแล้ว และต้องการจะทำความเร็วเพิ่มขึ้นอีก เราอาจจะเลือกเปลี่ยนเกียร์เป็น 3-6 ซึ่งจะให้อัตราทดที่เพิ่มขึ้นและต่อเนื่องคล้ายกับอัตราทดในเกียร์2-8 แต่แนวโซ่ไม่เบี่ยงเบนไปมาก หรือ คุณกำลังจะปั่นขึ้นเนินด้วยตำแหน่งเกียร์ 2-3 และเห็นว่าเนินนี้ยังอีกยาวทั้งมีแนวโน้มว่าคุณจะต้องใช้เกียร์ที่ต่ำกว่า นี้อีกในการจะเอาชนะ แทนที่คุณจะเปลี่ยนเป็นเกียร์ที่ต่ำกว่านี้ด้วยการใช้เกียร์ 2-2 ผมแนะนำให้คุณเปลี่ยนไปเล่นเกียร์ 1-5 แทนจะดีกว่า นอกจากเรื่องอัตราทดและแนวโซ่แล้วยังจะมีสิ่งที่หลายคนนึกไม่ถึง
ระบบเกียร์จักรยาน
เทคนิค การเลือกใช้ตำแหน่งสับจานหน้าในสถานะการณ์ต่างๆ การเปลี่ยนตำแหน่งสับจานหน้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่กระทำได้สะดวก รวดเร็วเหมือนอย่างการเปลี่ยนตำแหน่งเฟืองหลัง เพราะระยะห่างระหว่างใบจานหน้า รวมไปถึงความแตกต่างระหว่างจำนวนฟันของใบจานหน้าแต่ละใบ ผิดกับชุดเฟืองหลังที่จะอยู่ชิดกันกว่ารวมไปถึงจำนวนฟันที่ต่อเนื่องกัน มากกว่า
การพิจารณาเลือกใช้และการตัดสินเปลี่ยนตำแหน่งจานหน้าในแต่ ละสถานการณ์อาจจะแตกต่างกันไปสำหรับหลายๆคน แต่ก็ยังคงมีเหตุผลหลักๆที่คนส่วนใหญ่ยอมรับมัน9
1. สำหรับทางเรียบ คุณจะใช้จานกลางหรือจานใหญ่ก็สุดแล้วแต่ระดับความเร็วที่คุณใช้และแนวโซ่ที่ จะเบี่ยงเบน เช่นถ้าคุณเกาะกลุ่มในทางเรียบที่ความเร็วประมาณ 29-31กม/ชมแช่เป็นทางยาว แทนที่คุณจะใช้ตำแหน่งเกียร์ 2-9 ซึ่งแนวโซ่จะเบี่ยงเบนไปมาก ก็ควรจะเลือกใช้ตำแหน่งเกียร์ 3-7 ซึ่งแนวโซ่จะเป็นเส้นตรง
2. สำหรับทางลงเขา ควรใช้จานใหญ่ที่สุด ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึง ระดับความเร็วที่คุณกำลังปั่นส่งเพื่อลงเขาเท่านั้นหรือแม้จะเพียงปล่อยไหล ลงเขาก็ตาม เพราะว่าถ้าหากมีการล้มเกิดขึ้นโซ่ที่มาอยู่ในตำแหน่งจาน3 จะป้องกันขาของคุณจากความคมของยอดฟันใบจาน ซึ่งคมพอที่บาดขาคุณลงไปถึงกล้ามเนื้อได้
3. สำหรับกรณีขึ้นเขา คุณอาจจะมีแรงมากพอที่จะใช้จานกลางปั่นขึ้นเขาได้โดยตลอด และคิดว่าการเปลี่ยนมาใช้จานเล็กจะทำให้เสียเวลา ขอเพียงแค่คุณแรงถึง และแนวของโซ่ไม่เบี่ยงไปมากนักก็คงจะไม่เป็นไรมากเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดคุณขึ้นเขาด้วยเกียร์ 2-1หละครับผมว่าคุณใช้เกียร์ 1-4 จะไม่ดีกว่าหรือ อัตราทดใกล้เคียงกันแถมแนวโซ่ยังไม่เบี่ยงด้วย โซ่ในระบบเกียร์ 27 speeds จะบางกว่าโซ่ของระบบเกียร์ 24 speeds หรือระบบเดิมประมาณ0.6mm และต้องยอมรับว่าความแข็งแรงย่อมจะลดลงเป็นธรรมดา ซึ่งได้รับการยืนยันจากผู้ใช้หลายๆคนว่าโซ่ของระบบใหม่ขาดง่ายกว่าระบบเดิม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโซ่ใหม่หรือโซ่เดิม โอกาสโซ่ขาดอันเกิดจากการใช้งานที่ผิดวิธีย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ โซ่ขาดในระหว่างขึ้นเขาเป็นเหตุการณ์ที่พบได้เรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าข้อโซ่ทนแรงดึงไม่ไหว แต่ข้อโซ่ทนแรงบิดไม่ไหวต่างหาก คุณรู้หรือไม่ว่า โซ่จะบิดเกลียวและบิดตัวด้านข้างอย่างมากในขณะที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งจาน หน้า ถ้าบวกด้วยการออกแรงดึงโซ่อย่างหนัก เช่น ลดจานหน้าลงมาในขณะที่ขายังกดบันไดอย่างหนักเพื่อที่จะเอาชนะเนินสูงให้ได้ ก็อาจจะทำให้ข้อโซ่บิดจนหลุดออกมาได้ ขณะที่การเปลี่ยนตำแหน่งเฟืองหลังนั้นจะทำได้ง่ายกว่า โซ่จะบิดตัวน้อยกว่า เนื่องจากระยะห่างระหว่างเฟืองแต่ละแผ่นมีน้อยกว่าระยะห่างระหว่างใบจานวิธี ที่ควรทำในระหว่างการขึ้นเขาก็คือ
* พิจารณาจากรอบขาและแรงที่เรายังมีอยู่
* ถ้าเนินที่เห็นข้างหน้า หนักหนากว่าที่จะใช้จาน2ได้ตลอดเนิน ก็ให้เปลี่ยนเป็นจาน1 เมื่อยังมีแรงและรอบขาเหลืออยู่ โดยลดแรงกดที่บันไดลงก่อน อย่าเปลี่ยนจานหน้าในขณะที่กำลังจะหมดแรงส่ง เพราะนั่นหมายถึงว่าคุณกำลังออกแรงย่ำบันไดอย่างหนักโดยที่บันไดแทบจะไม่ ขยับเลย ซึ่งนั่นหมายถึงว่าแรงตึงภายใน
* โซ่จะสูงมากจนน่าเป็นห่วงที่จะทำให้ข้อโซ่อ้าได้ จากนั้นมาเล่นรอบโดยการเปลี่ยนตำแหน่งเฟืองหลังโดยใช้เฟืองที่เล็กลงก่อน เพื่อลดอาการ"หวือ"ของขาจากการที่ลดจานหน้าลง แล้วจึงเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเฟือง
หลังไปตามสถานะการณ์ แต่หลักการยังคงเหมือนเดิมคือ ให้เปลี่ยนเกียร์ในขณะที่ยังมีแรงหรือรอบขาเหลืออยู่ อย่าเปลี่ยนในขณะที่กำลังจะหมดแรงส่งด้วยเหตุผลที่เหมือนกับการสับจาน ถึงแม้ว่าจะไม่มีผลให้โซ่ขาดต่อหน้าต่อตาแต่จะบั่นทอนอายุการใช้งานลงอย่าง คาดไม่ถึง (อาจจะเจอโซ่ขาดเอาดื้อๆขณะที่กำลังปั่นทั้งๆที่ไม่ได้เปลี่ยนเกียร์เลย ) และต้องลดแรงกดที่บันไดในเวลาเปลี่ยนเกียร์เช่นกัน
มือใหม่ควรใช้เกียร์อะไร? ในตอนฝึกครั้งแรก
ผมขอแนะนำว่า ให้คุณปรับเกียร์ข้างซ้ายไปที่เกียร์ 2 หรือ ที่เราๆเรียกกันว่า จานหน้า (เพราะ เกียร์ 1 เราไม่ค่อยจะรู้สึกมาก มันเบาไปครับ เริ่มที่2 จะรู้สึกดีกว่า) หรือให้ปรับใช้จานกลาง เป็นหลักเมื่อปั่นจักรยาน แล้วไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันอีกแล้วครับ (ในระยะที่ฝึกปั่นใหม่ๆนะครับ)
ส่วนการเปลี่ยนปรับเกียร์ ให้เราใช้เกียร์ขวามือในการปรับครับ ฝึกใหม่ๆผมแนะนำให้ปรับไปที่ เกียร์ 3 ครับ พอหลังจากนั้นลองปรับไปที่เกียร์ 4 ฝึกไปอย่างนี้ก่อนสักระยะ



ข้อควรระวังในการเปลี่ยนเกียร์เสือภูเขาสำหรับมือใหม่
มือซ้ายนะครับ เราจะไม่ปรับจานหน้าไปเป็นจานเล็ก (เกียร์1) แล้วปรับจานหลัง ขวามือเราไปเป็น จานเล็ก(เกียร์9)
และเราจะไม่ปรับจานหน้า ไปเป็นจานใหญ่ (เกียร์ 3) พร้อมกับเปลี่ยนจานหลัง ไปเป็นเฟืองใหญ่ (เกียร์ 1)
เพราะการกระทำแบบนี้จะทำให้แนวโซ่เบนมากที่สุด จะส่งผลเสียต่อระบบเกียร์ ส่งผลให้โซ่ขาดได้ นอกจากนี้ตัวตีนผีเองจะถูกโซ่ดึงจนกาง ออกเกือบจะเป็นเส้นตรง ซึ่งถ้าความยาวของโซ่สั้นเกินไปกว่าที่ควรขาตีนผีอาจจะถูกบิดจนโก่งงอ
หวังว่าคุณผู้อ่านจะไม่งงนะครับ ถ้าไม่เข้าใจก็ลองปรับ หรือลองปั่นดูครับจะได้รู้และเข้าใจมากขึ้น ไม่ยากจนเกินไป และต้องใช้การฝึกฝนครับ แล้วจะสนุกมาก การปั่นจักรยานเสือภูเขาเป็นการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ และได้กำไรในการพักผ่อนไปในตัวได้ครับ
ข้อสรุป
* เลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทางและสภาพตัวคุณเอง พยายามหลีกเลี่ยงการใช้เกียร์ที่หนักแรงโดยไม่จำเป็น เก็บข้อเข่าคุณไว้ใช้ตอนอายุมากๆดีกว่า
* เลือกอัตราทดที่โซ่ไม่เบี่ยงเบนมาก เพื่อยืดอายุการใช้งานของโซ่ และลดการสึกหรอของจานหน้าและเฟืองหลัง
* เกียร์ 1-9 และ 3-1 ไม่ใช่เกียร์สำหรับใช้งาน แต่เกียร์1-9 มีไว้สำหรับเก็บรถเพื่อพักสปริงสับจานและตีนผี และระวังอย่าเผลอใช้เกียร์ 3-1
* การเปลี่ยนเกียร์ ไม่ว่าจะเปลี่ยนตำแหน่งจานหน้าหรือเฟืองหลัง ให้ลดแรงกดที่บันได
* ในขณะลงเขา เปลี่ยนจานหน้ามาไว้ที่จาน3 เสมอ โซ่จะคลุมยอดฟันคมๆของจาน3 ไม่ให้มาเกี่ยวขาเราในเวลาที่ล้ม
* ในขณะขึ้นเขา ควรจะเปลี่ยนมาใช้จาน1ในช่วงที่ยังมีรอบขาเหลืออยู่ ทางที่ดีแล้วควรจะ
เปลี่ยนมาใช้จาน1เสียแต่เนิ่น แล้วมาไล่เฟืองหลัง การเปลี่ยนตำแหน่งเฟืองหลังในขณะขึ้นเขา ทำได้ง่ายกว่าการเปลี่ยน
การเปลี่ยนเกียร์แบบที่ถูกต้อง

เปลี่ยนเกียรแบบผิด !!!

ที่มา : gobbikeshop.com
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558
10 วิธีทำให้รูปขายดีมากขึ้นบน Shutterstock
10 วิธีทำให้รูปขายดีมากขึ้นบน Shutterstock อ่านแล้วชอบเลยนำมาแบ่งปันเพื่อนๆครับ เผื่อใครต้องการเพิ่มยอดขาย
เรามักจะถามตัวเองเสมอว่าทำยังไงให้ถ่ายภาพได้ดี ทำอย่างไรให้ถ่ายภาพได้สวย แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ทำอย่างไรให้ภาพเหล่านั้นขายดีมากกว่า
อย่างแรก เราควรถามตัวเองว่า เราจะถ่ายรูปนี้ไปใช้ทำอะไร สำคัญกว่านั้นคือคนที่ซื้อจะซื้อไปทำอะไร นี่คือแนวความคิดเริ่มต้นง่ายๆ ก่อนที่เราถ่ายรูปนั้นๆ รูปสวยบางรูปก็ใช่ว่าจะขายดีเสมอไป
เรามักจะถามตัวเองเสมอว่าทำยังไงให้ถ่ายภาพได้ดี ทำอย่างไรให้ถ่ายภาพได้สวย แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ทำอย่างไรให้ภาพเหล่านั้นขายดีมากกว่า
อย่างแรก เราควรถามตัวเองว่า เราจะถ่ายรูปนี้ไปใช้ทำอะไร สำคัญกว่านั้นคือคนที่ซื้อจะซื้อไปทำอะไร นี่คือแนวความคิดเริ่มต้นง่ายๆ ก่อนที่เราถ่ายรูปนั้นๆ รูปสวยบางรูปก็ใช่ว่าจะขายดีเสมอไป
และนี่คือเทคนิคที่ผมอยากจะแบ่งปัน หวังว่าอาจจะช่วยทำให้รูปภาพของคุณขายดีขึ้นไม่มากก็น้อย
1) แนะนำให้ถ่ายรูปเดียวกันทั้งแนวตั้งและแนวนอน ช่วยเพิ่มตัวเลือกให้กับผู้ซื้อ บางคนจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไป corp รูป และช่วยเพิ่มความน่าสนใจและมุมมองอีกด้วย

2) 80% ของรูปที่ขายได้คือรูปคนยิ้ม จริงๆรูปแสดงอารมณ์อื่นก็ขายได้ แต่รูปยิ้มจะขายคล่องและผู้ซื้อสามารถซื้อไปต่อยอดได้มากกว่า
3) ถ่ายทั้งมุมกว้างและมุมแคบ! ในรูป Subject เดียวกันควรจะมีทั้งภาพมุมกว้างและมุมแคบ (close-up) ให้ลูกค้าเลือกด้วย
4) สร้างบรรยากาศถ่ายนาย/นางแบบอย่างเป็นกันเอง เรามักจะถ่ายรูปกับแบบแบบผ่อนคลายจะทำให้งานออกมาสนุกและดูดีที่สุด
5) สร้างเนื้อเรื่องจำลอง! อย่างเช่นรูปตัวอย่างครอบครัวอันอบอุ่นมีลูกน้อยเวลาทำกิจกรรมร่วมกันทั้งเวลาอ่านหนังสือและเวลานอน
6) เล่นกับแสงที่แตกต่างกันบ้าง – ถ่ายภาพในขณะที่มีแสงแตกต่างกันบ้างไม่ว่าจะเป็นแสงธรรมชาติหรือแสงจาก Flash
แสงธรรมชาติและแสง flash

7) เลื่อน Object ไปตำแหน่งอื่นๆบ้าง, จากตัวอย่างลองเลื่อนดอกไม้ไปด้านข้าง ง่ายๆแค่นี้ก็เพิ่มยอดขายได้
8 ) ขยับร่างกายเพื่อสร้างความรู้สึกใหม่ๆ
9) ขยายแนวความคิดของคุณ, หลังจากถ่ายรูปธรรมดาๆมาเยอะแล้ว ลองมาคิดถ่ายรูปแปลกๆสร้างสรรค์ดูบ้าง
ที่มาจาก : Shutterstock Contributor
วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558
13 กลวิธี ขี่จักรยานให้ได้ความเร็วเพิ่มขึ้น!
13 กลวิธี ขี่จักรยานให้ได้ความเร็วเพิ่มขึ้น!
1. เก็บข้อศอกแนบลำตัว
ลมต้านคืออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการปั่นจักรยาน ท่าปั่นท่านี้เป็นท่าที่ช่วยให้คุณ aero แหวกลมได้ง่ายที่สุด โดยให้ก้มตัวลงเล็กน้อยไปด้นหน้างอข้อศอกและเก็บแขนแนบกับลำตัวแทนที่จะนั่งตัวตรงบนอาน เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดแรงต้านลมระหว่างปั่นได้แล้ว
2. ฟังเพลง
Dr. Costas Karageorghis นักวิจัยด้านจิตวิทยาการกีฬาบอกว่า “การฟังเพลงช่วยลดอาการเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อปอดและหัวใจ และยังช่วยลดปริมาณของกรดแลคติกระหว่างที่กำลังออกกำลังกายได้ถึง 10% นอกจากนี้จังหวะของดนตรีก็เป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เราสามารถเพิ่มรอบการปั่นให้สอดคล้องกับเพลงได้โดยที่เราไม่รู้ตัวอีกด้วย
แต่ว่าการฟังเพลงระหว่างปั่นจักรยานนั้น ก็ไม่ควรฟังด้วยเสียงที่ดังจนกลบเสียงรอบข้างระหว่างที่ปั่น หรือใช้หูฟังแบบ In-ear ที่เป็นจุกยางอุดหู เพราะจะทำให้คุณไม่ได้ยินเสียงคนอื่นรอบข้างซึ่งมันจะส่งผลในเรื่องของความปลอดภัยขณะขับขี่บนท้องถนน
3. ปั่นเป็นก๊วน
ปั่นเดี่ยวยังไงๆ ก็สู้ปั่นเป็นกลุ่มไม่ได้ วิธีสุดคลาสิคในการเพิ่ม Average speed ให้กับคุณได้ก็คือการปั่นดูดไปกับบรรดาเพื่อนๆ ขาแรงของคุณ แต่ยังไงคุณก็ต้องหมั่นฝึกการปั่นเป็นกลุ่มกับเพื่อนๆ ของคุณเพื่อพลัดกันขึ้นมาเป็นหัวลากในการรักษาความเร็วในการปั่นไปได้ตลอดทั้งเส้นทาง

4. เช็คลมยางให้พร้อม
การเติมลมยางด้วยแรงดันที่เหมาะสมกับยางที่ใช้และน้ำหนักของตัวคุณ จะช่วยให้สามารถควงรอบขาทำความเร็วได้ง่ายขึ้น ดังนั้นก่อนจะออกปั่นให้เช็คลมยางให้พร้อมทุกครั้ง อ้อ! อย่าลืมพกที่สูบลมแบบพกพาไปด้วยเพื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างเส้นทางได้

5. เบรกให้น้อยลง
ยิ่งคุณใช้เบรกบ่อย คุณจะต้องแบกภาระในการใช้พลังงานพื่ออัดรอบขาเร่งให้กลับไปเร็วเท่าเดิม ดังนั้นอย่าพยายามใช้เบรกพร่ำเพรือโดยไม่จำเป็น ใช้เบรคเพื่อปรับความเร็วลงมาในระดับที่ทำให้คุณเชื่อมั่นในการบังคับรถสอดคล้องกับเส้นทางที่ปั่นอยู่
ถ้าหากเป็นเส้นทางตรงถนนพื้นเรียบๆ คุณก็ปั่นไปได้เต็มที่ตามสบาย แต่ถ้าเริ่มที่จะเข้าสู่ทางโค้งจึงค่อยใช้เบรคในการชะลอความเร็วลงอยู่ในระดับที่คุณเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ และจำให้ขึ้นใจว่าให้เบรคในช่วงทางตรงก่อนเข้าโค้งเสมอ
6. จับแฮนด์ล่าง
การปั่นจักรยาน Road bike หรือเสือหมอบ การจับแฮนด์ล่างหรือ drop-handles นั้น คือตำแหน่งที่ช่วงให้สามารถทำความเร็วได้ดีที่สุด เพราะมันช่วยในการลดแรงต้านลมไปได้กว่า 20% เมื่อเทียบกับการจับแฮนด์บน
ทว่าการปั่นโดยจับแฮนด์ล่างนั้นมันก็มีข้อจำกัดอยู่ตรงที่มือเราไม่สามารถจับก้ามเบรกได้ จึงเหมาะจะใช้ในช่วงที่เป็นเส้นทางตรงอัดยาวๆ เท่านั้น อีกทั้งยังเป็นตำแหน่งที่จับแล้วรู้สึกเมื่อยมากๆ แต่ปัญหานี้ก็พอจะช่วยแก้ได้ด้วยการ fitting

7. Track Stand
อันนี้เป็นเทคนิคชั้นสูงที่ต้องฝึกฝนเป็นพิเศษ ที่จะช่วยให้คุณทรงตัวอยู่บนจักรยานระหว่างที่จอดได้ เพื่อลดเวลาในการถอดใส่คลีทไปได้ในช่วงที่ต้องจอดติดไฟแดง แต่ก็ต้องย้ำอีกครั้งว่าต้องฝึกจนชำนาญ แต่ถ้าไม่สะดวกจริงๆ ก็ใช้วิธีเกาะเสาเกาะราวริมถนนแทนก็ได้
8. ดูทิศทางของลม
ทิศทางลมในการปั่นจักรยานนั้นเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรูในเวลาเดียวกัน ถ้าคุณรู้จังหวะของลมก็จะช่วยให้ปั่นได้เร็วขึ้น เมื่อต้องปั่นต้านลมสิ่งที่คุณต้องทำคือพยายามทำตัวให้ aero ที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ดูวิธีได้ในข้อที่ 1 และ 6) แต่เมื่อใดที่ปั่นแบบมีลมหนุน นั่นคือช่วงเวลาแห่งความหฤหรรษ์ที่คุณจะปั่นทำความเร็วได้พรวดพราดอย่างเหลือเชื่อ
9. ลดน้ำหนัก
ในที่นี้เหมารวมทั้งน้ำหนักของรถและน้ำหนักของคน น้ำหนักของรถนั้นยิ่งเบาลงก็จะช่วยให้คุณปั่นได้เร็วขึ้น แต่นั่นก็หมายถึงเงินที่ปลิวออกไปจากกระเป๋าของคุณด้วยเช่นกัน ดังนั้นวิธีที่ประหยัดกว่าคือการลดน้ำหนักตัวของคุณเอง ถ้าคุณยังอยู่ในภาวะที่น้ำหนักเกินอยู่
การลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มชากาแฟแค่ 3-4 ช้อนชา น้ำหนักคุณก็สามารถลดลงได้ 0.23 กิโลกรัมต่อเดือน และการปั่นจักรยานเพิ่มขึ้นอีก 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะช่วยเผาผลาญไขมันของคุณออกไปได้ถึง 0.5 กิโลกรัมต่อเดือนเลยทีเดียว
10. ฝึกปั่นแบบ Interval ช่วยเพิ่ม Average Speed
ถูกต้องแล้วครับ ถ้าคุณอยากจะปั่นให้เร็วขึ้น ควรอย่างยิ่งที่จะต้องหัดปั่นแบบ Interval ซึ่งมันจะช่วยให้คุณระเบิดพลังในการปั่นอย่างเต็มที่ในระยะสั้นๆ จากนั้นก็ลดลงมารักษาความเร็วไว้ในช่วงรอบขาปกติเพื่อผ่อนคลายแล้วค่อยกลับไปเร่งความเร็วใหม่ สลับกันไปตามช่วงเวลา การปั่นแบบนี้จะช่วยให้คุณสามารถทำความเร็วเฉลี่ยได้ดี แถมยังทำให้ไปได้ระยะทางที่ไกลอีกด้วย
11. เสริมสร้างกล้ามเนื้อ
ร่างกายที่แข็งแกร่งก็มีความจำเป็นในการปั่นจักรยานไม่น้อย การออกกำลังเพื่อสร้างกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่ควรทำควบคู่ไปกับการฝึกปั่นจักรยานเพื่อทำความเร็ว ปั่นด้วยรอบขาที่สูงนั้นจะต้องใช้กล้ามเนื้อของขาที่แข็งแกร่งพอที่จะอัดรอบไปได้ ถ้าอยากจะมีรอบขาระดับ 100 rpm การฝึกฝนเฉพาะแค่นั่งคร่อมปั่นบนอานจักรยานอย่างเดียวนั้นก็คงจะยังไม่เพียงพอ
12. ใช้จักรยานและล้อแบบ Aero
ในการปั่นจักรยานที่มีผลต่อการต้านลมระหว่างปั่น 70% อยู่ที่ร่างกายของผู้ปั่นส่วนอีก 30% คือตัวรถจักรยานที่ขี่ งานนี้จึงต้องเรียกว่าเป็นการใช้เงินมาช่วยแก้ปัญหา ถ้าคุณกระหายที่อยากจะปั่นให้ได้ความเร็ว อย่างน้อยจักรยานแบบ Aero ก็ช่วยให้คุณปั่นได้เร็วขึ้นได้อีกพอสมควรล่ะ

13. สวมชุดที่กระชับ
ชุดปั่นจักรยานก็เป็นสิ่งที่สำคัญ การใส่ชุดที่หลวมๆ พริ้วๆ นั้นมีผลในการต้านลมอย่างแน่นอน ส่วนชุดปั่นสำหรับจักรยานนั้นจะเป็นแบบผ้าแนบเนื้อที่นอกจากจะลู่ลมแล้วยังช่วยในเรื่องของการระบายความร้อนและเหงื่อแห้งเร็วขึ้นด้วย ชุดปั่นนั้นถ้าอยากจะได้ที่ Aero กันสุดๆ ก็อย่าลืมจัดหมวกทรงหยดน้ำและรองเท้าแบบผ้า Lycra ไปเลย

และนี่ก็เป็นเทคนิคบางส่วนที่เรามาแนะนำกัน แต่จริงๆ แล้ว การจะปั่นให้ Average Speed ของคุณเพิ่มขึ้นนั้น ยังมีปัจจัยอีกหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทิศทางลม, ลักษณะพื้นผิวของถนน, ความชื้น, ความร้อน, ความคับคั่งของการจราจร ฯลฯ
ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้กะว่าจะปั่นเพื่อไปลงแข่งระดับมืออาชีพ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปหมกมุ่นกับเรื่องนี้มากจนเกินไปจนทำให้ลืมความสนุกในการปั่นจักรยานไปนะครับ
ข้อมูล/ภาพจาก : Cycling Weekly
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)